พระสุตตันตปิฎกไทย: 21/25/25
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ไม่สำคัญว่าฟังเสียงที่มหาชนฟังกันอยู่ ตถาคตรู้คันธารมณ์เป็นต้นที่ควรรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้คันธา
รมณ์เป็นต้นที่รู้แล้ว ย่อมไม่สำคัญว่ารู้คันธารมณ์เป็นต้นที่ยังไม่มีใครรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้
คันธารมณ์เป็นต้นที่ควรรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้คันธารมณ์เป็นต้นที่มหาชน รู้กันอยู่ ตถาคตรู้แจ้ธรรมา
รมณ์ที่ควรรู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ยัง
ไม่มีใครรู้ ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้ง ธรรมารมณ์ที่ควรรู้แจ้ง ย่อมไม่สำคัญว่ารู้แจ้งธรรมารมณ์ที่มหาชน
รู้แจ้งกันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้คงที่เช่นนั้นเทียว ในธรรมทั้งหลาย คือ รูปารมณ์
สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และธรรมารมณ์ และเราย่อมกล่าวว่าบุคคลอื่น
ผู้คงที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่าตถาคตผู้คงที่นั้นไม่มี ด้วยประการ ฉะนี้แล ฯ
รูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว หรือหมวด ๓ แห่งอารมณ์
มีคันธารมณ์เป็นต้นที่ทราบแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งอันดูดดื่ม
อันชนเหล่าอื่นสำคัญว่าจริง ตถาคตเป็นผู้คงที่ในรูปเป็น
ต้นเหล่านั้น อันสำรวมแล้วเอง ไม่พึงเชื่อคำคนอื่นทั้ง
จริงและเท็จ เราเห็นลูกศร คือ ทิฐินี้ก่อนแล้ว ย่อมรู้
ย่อมเห็นลูกศร คือ ทิฐิที่หมู่สัตว์หมกมุ่นข้องอยู่เช่นนั้น
ความหมกมุ่นย่อมไม่มีแก่ตถาคตทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๔
พรหมจริยสูตร
[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้
เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้ เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้
ก็หามิได้ โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด
เพื่อดับกิเลส ฯ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์อัน
เป็นการละเว้น มีปรกติยังสัตว์ให้หยั่งลงภายในนิพพาน