พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/243/646 647 648 649

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 243
หัวหน้า น้อมใจไปด้วยศรัทธา มีศรัทธาเป็นใหญ่ ได้บรรลุอรหัตแล้ว ฉันใด. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระวักกลิก็ดี พระภัทราวุธะก็ดี พระอาฬวิโคตมะก็ดี เป็นผู้มีศรัทธาอันปล่อยแล้ว ฉันใด.
[๖๔๖] คำว่า แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาฉันนั้นเหมือนกัน ความว่า ท่านจงปล่อย คือ จงปล่อยไปทั่ว จงปล่อยไปพร้อม จงน้อมลง จงกำหนดซึ่งศรัทธาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ฉันนั้น เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาฉันนั้นเหมือนกัน.
[๖๔๗] กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี ตรัสว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ ในอุเทศ ว่า คมิสฺสสิ (ตฺวํ) ปิงฺคิย มจฺจุเธยฺยสฺร ปารํ ดังนี้. อมตนิพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหา เป็นเครื่องร้อยรัด ตรัสว่า ฝั่งแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ. คำว่า ดูกรปิงคิยะ ท่านจักถึงฝั่ง แห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ ความว่า ท่านจักถึง คือ จักลุถึง ถูกต้อง ทำให้แจ้งซึ่งฝั่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูกรปิงคิยะ ท่านจักถึงฝั่งแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า. พระวักกลิก็ดี พระภัทราวุธะก็ดี พระอาฬวิโดตมะก็ดี เป็นผู้มี ศรัทธาอันปล่อยแล้ว ฉันใด แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาฉันนั้น เหมือนกัน ดูกรปิงคิยะ ท่านจักถึงฝั่งแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง มัจจุ.
[๖๔๘] ข้าพระองค์นี้ ได้ฟังพระดำรัสของพระมุนีแล้ว ย่อมเลื่อมใสอย่าง ยิ่ง พระสัมพุทธเจ้ามีเครื่องมุงอันเปิดแล้ว ไม่มีหลักตอ เป็นผู้มี ปฏิภาณ.
[๖๔๙] คำว่า ข้าพระองค์นี้ ... ย่อมเลื่อมใสอย่างยิ่งความว่า ข้าพระองค์นี้ย่อมเลื่อมใส ย่อมเชื่อ น้อมใจเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯลฯ. สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ข้าพระองค์นี้ ... ย่อมเลื่อมใสอย่างยิ่ง.