พระสุตตันตปิฎกไทย: 17/237/453 454 455 456 457 458
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๒๒. เนวรูปีนารูปีอัตตาสูตร
[๔๕๓] ฯลฯ อัตตาที่มีรูปก็หามิได้ ไม่มีรูปก็หามิได้ เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่
สลายไป ฯลฯ
๒๓. เอกันตสุขีอัตตาสูตร
[๔๕๔] ฯลฯ อัตตาที่มีสุขโดยส่วนเดียว เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป ฯลฯ
๒๔. เอกันตทุกขีอัตตาสูตร
[๔๕๕] ฯลฯ อัตตาที่มีทุกข์โดยส่วนเดียว เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป ฯลฯ
๒๕. สุขทุกขีอัตตาสูตร
[๔๕๖] ฯลฯ อัตตาที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป ฯลฯ
๒๖. อทุกขมสุขีอัตตาสูตร
[๔๕๗] อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป ฯลฯ ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาค
เป็นรากฐาน ฯลฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดทิฏฐิขึ้น
อย่างนี้ว่า อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป. เมื่อเวทนามีอยู่ ...
เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป.
[๔๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่
เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น
จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า อัตตาที่ไม่มีทั้งทุกข์ทั้งสุข เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่สลายไป
บ้างไหม?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.