พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/236/619 620 621 622
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
กว้างขวางดังแผ่นดิน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้โคดมซึ่งมีพระปัญญากว้างขวางดังแผ่นดิน.
เพราะเหตุนั้น พระปิงคิยเถระ จึงกล่าวว่า
ท่านพราหมณ์ อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าผู้โคดม
ซึ่งมีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏ มีพระปัญญากว้างขวาง
ดังแผ่นดินแม้ครู่หนึ่ง.
[๖๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรม อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็น
เอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา อันไม่มีอันตราย
แก่อาตมา. นิพพานมิได้มีอุปมาในที่ไหนๆ.
[๖๒๐] คำว่า โย ในอุเทศว่า โย เม ธมฺมมเทเสสิ ดังนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาค
เป็นพระสยัมภู ... และทรงถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ธมฺมํ ในอุเทศว่า ธมฺมมเทเสสิ ดังนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาคตรัสบอก ...
ทรงประกาศแล้วซึ่งพรหมจรรย์ อันงามในเบื้องต้น ... และปฏิปทาอันให้ถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้วซึ่งธรรม แก่อาตมา.
[๖๒๑] คำว่า อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ความว่า อันธรรมจารี
บุคคลพึงเห็นเอง ... อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตนด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า อัน
ธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ในภพนี้ ... มิได้มีกาลอื่นคั่น แม้ด้วยเหตุ
อย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล.
มนุษย์ทั้งหลายลงทุนทรัพย์ตามกาลอันควร ... ย่อมไม่ได้ในปรโลก ด้วยเหตุอย่างนี้ จึง
ชื่อว่า ไม่ประกอบด้วยกาล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบ
ด้วยกาล.
[๖๒๒] รูปตัณหา ... ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า ตณฺหกฺขยมนีติกํ ดังนี้.
คำว่า ตณฺหกฺขยํ ความว่า เป็นที่สิ้นตัณหา ... เป็นที่สิ้นวัฏฏะ. กิเลส ขันธ์ และอภิสังขาร
ท่านกล่าวว่าอันตราย ในบทว่า อนีติกํ ดังนี้. เป็นที่ละ ... เป็นอมตนิพพาน เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า เป็นที่สิ้นตัณหา ไม่มีอันตราย.