พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/235/613 614 615 616 617 618
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
กล่าวว่าอันตราย ในบทว่า อนีติกํ ดังนี้. เป็นที่ละ ... เป็นอมตนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เป็นที่สิ้นตัณหา ไม่มีอันตราย.
[๖๑๓] คำว่า ยสฺส ในอุเทศว่า ยสฺส นตฺถิ อุปมา กฺวจิ ดังนี้ ได้แก่นิพพาน.
คำว่า ไม่มีอุปมา ความว่า ไม่มีอุปมา ... ไม่ประจักษ์. คำว่า ในที่ไหนๆ ความว่า ในที่ไหนๆ ...
หรือทั้งภายในและภายนอก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นิพพานไม่มีอุปมาในที่ไหนๆ. เพราะเหตุนั้น
พาวรีพราหมณ์จึงกล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรม อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็น
เอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา อันไม่มีอันตราย
แก่ท่าน. นิพพานมิได้มีอุปมาในที่ไหนๆ.
[๖๑๔] ท่านพราหมณ์ อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าพระองค์
นั้นผู้โคดม ซึ่งมีพระปัญญา เป็นเครื่องปรากฏ มีพระปัญญา
กว้างขวางดังแผ่นดิน แม้ครู่หนึ่ง.
[๖๑๕] คำว่า อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ความว่า อาตมามิได้
อยู่ปราศ คือ มิได้หลีกไป มิได้ไปปราศ มิได้เว้น จากพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
[๖๑๖] คำว่า ท่านพราหมณ์ ... แม้ครู่หนึ่ง ความว่า แม้ครู่หนึ่ง ขณะหนึ่ง พักหนึ่ง
ส่วนหนึ่ง วันหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แม้ครู่หนึ่ง. พระปิงคิยเถระเรียกพาวรีพราหมณ์ผู้
เป็นลุงด้วยความเคารพว่า ท่านพราหมณ์.
[๖๑๗] คำว่า ผู้โคดมซึ่งมีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏ ความว่า ผู้โคดมซึ่งมีพระปัญญา
เป็นเครื่องปรากฏ ... มีปัญญาเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้โคดมมีปัญญาเป็นเครื่อง
ปรากฏ.
[๖๑๘] แผ่นดินท่านกล่าวว่า ภูริ ในอุเทศว่า โคตมา ภูริเมธสา ดังนี้. พระโคดม
ประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์กว้างขวางเสมอด้วยแผ่นดิน. ปัญญา ความรู้ กิริยาที่รู้ ฯลฯ ความ
ไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ท่านกล่าวว่าเมธา. พระผู้มีพระภาคทรงเข้าไป ... ทรง
ประกอบด้วยปัญญาเป็นเมธานี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า มีปัญญา