พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/234/609 610 611 612

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 234
เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยปัญญาเป็นเมธานี้ เพราะ เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดิน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้โคดมซึ่งมีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดิน. เพราะเหตุนั้น พราหมณ์พาวรีนั้นจึงกล่าวว่า ดูกรปิงคิยะ ท่านอยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้น ซึ่งมีปัญญาเป็นเครื่องปรากฏ มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดิน แม้ครู่หนึ่งหรือหนอ?
[๖๐๙] พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมอันธรรมจารีบุคคลพึงเห็น เอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา อันไม่มีอันตราย แก่ท่าน. นิพพาน มิได้มีอุปมาในที่ไหนๆ.
[๖๑๐] คำว่า โย ในอุเทศว่า โย เต ธมฺมมเทเสสิ ดังนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาค ฯลฯ เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น และทรงถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ชำนาญ ใน พลธรรมทั้งหลาย. คำว่า ธมฺมํ ในอุเทศว่า โย เม ธมฺมมเทเสสิ ดังนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาคตรัส บอก ... ทรงประกาศแล้วซึ่งพรหมจรรย์อันงามในเบื้องต้น ฯลฯ และปฏิปทาอันให้ถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้วซึ่งธรรม ... แก่ท่าน.
[๖๑๑] คำว่า อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ความว่า อันธรรมจารี บุคคลพึงเห็นเอง ... อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า อัน ธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ในภพนี้ ... มิได้มีกาลอื่นคั่น แม้ด้วยเหตุ อย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล. มนุษย์ทั้งหลายลงทุนทรัพย์ตามกาลอันควร ... ย่อมไม่ได้ในปรโลก ด้วยเหตุอย่างนี้ จึง ชื่อว่า ไม่ประกอบด้วยกาล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันธรรมจารีบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบ ด้วยกาล.
[๖๑๒] รูปตัณหา ... ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า ตณฺหกฺขยมนีติกํ ดังนี้. คำว่า ตณฺหกฺขยํ ความว่า เป็นที่สิ้นตัณหา ... เป็นที่สิ้นวัฏฏะ กิเลสขันธ์และอภิสังขาร ท่าน