พระสุตตันตปิฎกไทย: 10/234/301 302      
      สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
      
     
 
    
        
          
            		๑๐. ปายาสิราชัญญสูตร (๒๓)
 [๓๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
      สมัยหนึ่ง ท่านพระกุมารกัสสปเที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่
ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ลุถึงนครแห่งชาวโกศลชื่อเสตัพยะ ได้ยิน ว่า สมัยนั้น ท่านพระกุมาร
กัสสปอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียดด้านเหนือนครเสตัพยะ  เขตนครเสตัพยะ ฯ
      ก็สมัยนั้น เจ้าปายาสิครองเสตัพยนครซึ่งคับคั่งด้วยประชาชน และหมู่  สัตว์ สมบูรณ์
ด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราช  สมบัติอันพระเจ้าปเสนทิโกศล
พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย สมัย   นั้น ทิฐิอันลามกเห็นปานนี้บังเกิดแก่เจ้า
ปายาสิว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี       เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี
ทำชั่วไม่มี ฯ
      พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ ได้ทราบข่าวว่า ท่านพระกุมาร  กัสสปสาวก
ของพระสมณโคดม เที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุ   สงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐
รูป ลุถึงนครเสตัพยะแล้ว อยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด   ด้านเหนือนครเสตัพยะ เขตนครเสตัพยะ
เกียรติศัพท์อันงามของท่านกุมาร       กัสสปองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม
มีปัญญา เป็นพหูสูต     มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นทั้งพุทธบุคคล เป็นทั้งพระอรหันต์
ก็การได้    เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้ ครั้งนั้นพราหมณ์ และ
คฤหบดีชาวนครเสตัพยะ พากันออกจากนครเสตัพยะเป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าทางทิศอุดรไปยังป่าไม้
สีเสียด ฯ
 [๓๐๒] สมัยนั้น เจ้าปายาสิ ทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้น บน ได้เห็น
พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ พากันออกจากนครเสตัพยะ  เป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าไปทาง
ทิศอุดร จึงเรียกนายนักการมาถามว่า พ่อนักการ  พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ พากัน
ออกจากนครเสตัพยะเป็นหมู่ๆ บ่าย   หน้าทางทิศอุดรไปยังป่าไม้สีเสียดทำไมกัน ฯ
      น. มีเรื่องอยู่พระองค์ พระสมณกุมารกัสสป สาวกของพระสมณโคดม  เที่ยวจาริก
ไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป    ลุถึงนครเสตัพยะแล้ว อยู่