พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/231/534
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ทั้งหลาย เปรียบเหมือนคฤหบดีชาวนา พึงใช้คนให้รีบเร่งเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในนาของเขาซึ่งถึง
พร้อมแล้ว ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งรวบรวมเข้าไว้ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งขนเอาไปเข้า
ลาน ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งลอมไว้ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งนวดเสีย ครั้นแล้วพึงใช้
คนให้รุเอาฟางออกเสีย ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รวมข้าวเปลือกเป็นกองเข้าไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้
รีบเร่งฝัดข้าวครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งขนเอาไป ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งซ้อม ครั้นแล้ว
พึงใช้คนให้รีบเร่งเอาแกลบออกเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าวเปลือกเหล่านั้นของ
คฤหบดีชาวนานั้น พึงเป็นของถึงส่วนอันเลิศ ถึงส่วนเป็นแก่นสารสะอาดหมดจด ตั้งอยู่ใน
ความเป็นของมีแก่นสาร ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเป็นผู้มีศีล ละความเป็นผู้ทุศีล และ
สงัดจากกิเลสแล้วเพราะศีลนั้นด้วยเป็นผู้มีความเห็นชอบ ละความเห็นผิด และสงัดจากกิเลส
แล้วเพราะความเห็นชอบนั้นด้วย เป็นพระขีณาสพ ละอาสวะทั้งหลาย และสงัดจากอาสวะ
ทั้งหลายนั้นด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเช่นนี้เรียกว่า เป็นผู้บรรลุส่วนอันเลิศบรรลุส่วนที่เป็น
แก่นสาร เป็นผู้หมดจด ตั้งอยู่ในธรรมที่เป็นแก่นสาร ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
สรทสูตร
[๕๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนในอากาศที่ปราศจากวลาหก ในเมื่อสรทสมัย
ยังอยู่ห่างไกล อาทิตย์ส่องแสงเงินแสงทองขึ้นไปยังท้องฟ้า ขจัดความมืดมัวที่อยู่ในอากาศเสีย
ทั้งหมดแล้ว ส่องแสง แผดแสงและรุ่งโรจน์อยู่ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
เมื่อใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินเกิดแก่อริยสาวก อริยสาวกย่อมละสังโยชน์
๓ อย่าง คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสเสียได้เด็ดขาด พร้อมกับเกิดขึ้นแห่ง
ทัศนะ เมื่อนั้น ธรรมจักษุชนิดอื่นอีก ไม่ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ คืออภิชฌา ๑
พยาบาท ๑ อริยสาวกนั้นสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มี
ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าอริยสาวกพึงทำกาละในสมัยนั้น เธอย่อมไม่มี
สังโยชน์ที่เป็นเหตุทำให้อริยสาวกผู้ยังประกอบ พึงกลับมายังโลกนี้อีก ฯ