พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/231/444 445      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
              มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้นเถิด  ถ้าไม่ได้สหายที่มีปัญญารักษาตัว
	ร่วมทางจร  เป็นนักปราชญ์  มีปรกติให้สำเร็จประโยชน์อยู่
	พึงเป็นผู้ผู้เดียวเที่ยวไป  เหมือนพระราชาที่ทรงสละราชสมบัติ
	และเหมือนช้างมาตังคะในป่า  ฉะนั้นการเที่ยวไปคนเดียวประ
	เสริฐกว่า  เพราะไม่มีความเป็นสหายกันในคนพาล  พึงเป็นผู้
	ผู้เดียวเที่ยวไป  และไม่พึงทำบาป  เหมือนช้างมาตังคะมีความ
	ขวนขวายน้อยในป่าฉะนั้น  ฯ
 [๔๔๔]  ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคครั้นประทับยืนตรัสพระคาถานี้แล้ว  ได้เสด็จ
เข้าไปยังบ้านพาลกโลณการ  ก็สมัยนั้นแล  ท่านพระภคุอยู่ในบ้านพาลก  โลณการ  ได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล  ครั้นเห็นแล้ว  จึงแต่งตั้งอาสนะและน้ำสำหรับล้างพระบาทไว้
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้แล้วทรงล้างพระบาท  ท่านพระภคุถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาคแล้ว  นั่ง  ณ  ที่ควร  ส่วนข้างหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระภคุผู้นั่ง
เรียบร้อยแล้วดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  พอทน  พอเป็นไปได้หรือ  เธอไม่ลำบากด้วยเรื่องบิณฑบาต
บ้างหรือ  ฯ
	ท่านพระภคุกราบทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  พอทน  พอเป็นไปได้และข้าพระองค์ไม่
ลำบากด้วยเรื่องบิณฑบาตเลย  พระพุทธเจ้าข้า  ต่อนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงสนทนากับท่าน
พระภคุทรงชักชวนให้อาจหาญ  ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรมแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้า
ไปประทับนั่งยังป่าปาจีนวงส์  ฯ
 [๔๔๕]  ก็สมัยนั้นแล  ท่านพระอนุรุทธ  ท่านพระนันทิยะ  และท่าน  พระกิมพิละ  อยู่ใน
ป่าปาจีนวงส์  คนรักษาป่าได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล  ครั้นเห็นแล้ว  ได้กล่าวกะ
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ข้าแต่ท่านสมณะ  ท่านอย่าเข้าไปยังป่านี้  ในป่านี้  มีกุลบุตร  ๓  คน
กำลังหวังอัตตาอยู่  ท่านอย่าได้ทำความไม่สำราญแก่เขาเลย  ท่านพระอนุรุทธได้ยินคนรักษาป่าพูด
กับพระผู้มีพระภาคอยู่  ครั้นได้ยินแล้ว  จึงบอกคนรักษาป่าดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้รักษาป่า  ท่านอย่า
ห้ามพระผู้มีพระภาคเลย  พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของพวกเราได้เสด็จถึงแล้วโดยลำดับ  ต่อนั้น
ท่านพระอนุรุทธเข้าไปหาท่านพระนันทิยะและท่านพระกิมพิละ  ยังที่อยู่  แล้วบอกดังนี้ว่า  นิมนต์
ท่านทั้งสองไปข้างหน้าๆ  กันเถิด  พระผู้มีพระ  ภาคผู้เป็นพระศาสดาของพวกเรา  เสด็จถึงแล้ว