พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/230/596 597
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
คำว่า ทรงบรรเทาความมืดเสีย ความว่า พระผู้มีพระภาค ทรงบรรเทา ละ สละ กำจัด
ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งความมืดคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต
อันทำให้บอด ทำให้ไม่มีจักษุ ทำให้ไม่มีญาณ อันดับปัญญา เป็นฝ่ายความลำบาก ไม่เป็นไป
เพื่อนิพพาน.
คำว่า ประทับนั่งอยู่แล้ว คือ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้วที่ปาสาณกเจดีย์ เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ประทับนั่งอยู่แล้ว.
เชิญดูพระมุนีผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ประทับนั่งอยู่แล้วที่ข้างภูเขา.
พระสาวกทั้งหลายผู้ได้ไตรวิชชา ละมัจจุเสีย นั่งห้อมล้อมอยู่.
ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ พระผู้มีพระภาคจึงชื่อว่าประทับอยู่แล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคชื่อว่าประทับนั่งอยู่แล้ว เพราะพระองค์ทรงระงับแล้วซึ่ง
ความขวนขวายทั้งปวง. พระผู้มีพระภาคนั้น มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ทรงอยู่จบแล้ว มีจรณะทรง
ประพฤติแล้ว ฯลฯ มิได้มีสงสารคือ ชาติ ชราและมรณะ ไม่มีภพใหม่ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคจึงชื่อว่าประทับนั่งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าพระองค์เดียว ทรงบรรเทาความมืด
เสีย ประทับนั่งอยู่แล้ว.
[๕๙๖] คำว่า มีความโพลง ในอุเทศว่า ชุติมา โส ปภงฺกโร ดังนี้ ความว่า
มีปัญญาสว่าง คือ เป็นบัณฑิต มีปัญญา มีความตรัสรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญา
ทำลายกิเลส.
คำว่า ทรงแผ่รัศมี ความว่า ทรงแผ่แสงสว่าง แผ่รัศมี แผ่แสงสว่างดังประทีป
แผ่แสงสว่างสูง แผ่แสงสว่างช่วงโชติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระองค์มีพระปัญญาสว่าง
แผ่รัศมี.
[๕๙๗] คำว่า พระโคดมมีพระปัญญาปรากฏ ความว่า พระโคดมมีพระปัญญาเป็นเครื่อง
ปรากฏ มีพระญาณเป็นเครื่องปรากฏ มีปัญญาดังธงไชย มีปัญญาดังธงนำหน้า มีปัญญาเป็นอธิบดี
มีความเลือกเฟ้นธรรมมาก มีความเลือกเฟ้นทั่วไปมาก มากด้วยปัญญาเครื่องพิจารณา มีธรรม
เป็นเครื่องพิจารณาพร้อม มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แจ่มแจ้ง ทรงประพฤติในธรรมนั้น มีพระปัญญา