พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/215/557 558 559
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
คำว่า ทรงให้ยินดีแล้ว ความว่า ทรงให้ยินดี ให้ยินดียิ่ง ให้เลื่อมใส ให้พอใจ
ทรงทำให้เป็นผู้ปลื้มใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พราหมณ์เหล่านั้น ... ทรงให้ยินดีแล้ว.
คำว่า ผู้มีจักษุ ความว่า พระผู้มีพระภาคมีพระจักษุด้วยจักษุ ๕ ประการ คือ มีพระจักษุ
แม้ด้วยมังสจักษุ ๑ แม้ด้วยทิพยจักษุ ๑ แม้ด้วยปัญญาจักษุ ๑ แม้ด้วยพุทธจักษุ ๑ แม้ด้วย
สมันตจักษุ ๑.
พระผู้มีพระภาคมีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุอย่างไร? ฯลฯ พระผู้มีพระภาคมีพระจักษุ
แม้ด้วยสมันตจักษุอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พราหมณ์เหล่านั้นอันพระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ
ทรงให้ยินดีแล้ว.
[๕๕๗] คำว่า พุทฺเธน ในอุเทศว่า พุทฺเธนาทิจฺจพนฺธุนา ดังนี้ จะกล่าวดังต่อไปนี้
พระผู้มีพระภาค ฯลฯ พระนามว่า พุทฺโธ นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ.
พระสุริยะท่านกล่าวว่า พระอาทิตย์ ในคำว่า อาทิจฺจพนฺธุนา ดังนี้. พระอาทิตย์นั้น
เป็นโคดมโดยโคตร. แม้พระผู้มีพระภาคก็เป็นพระโคดมโดยโคตร. พระผู้มีพระภาคเป็นพระญาติ
โดยโคตร เป็นเผ่าพันธุ์โดยโคตร แห่งพระสุริยะ. เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้า จึงชื่อว่า
เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันพระพุทธเจ้า ... เป็นเผ่าพันธุ์ แห่ง
พระอาทิตย์.
[๕๕๘] ความงด ความเว้น ความเว้นเฉพาะ เจตนาเครื่องงดเว้น ความไม่ยินดี
ความงดการทำ ความไม่ทำ ความไม่ต้องทำ ความไม่ล่วงแดน ความฆ่าด้วยเหตุ (ด้วยอริยมรรค)
ในความถึงพร้อมด้วยอสัทธรรม ท่านกล่าวว่า พรหมจรรย์ ในอุเทศว่า พฺรหฺมจริยมจรึสุ ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายาม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ท่านกล่าวว่า พรหมจรรย์
ด้วยสามารถแห่งการกล่าวตรงๆ.
คำว่า ได้ประพฤติแล้วซึ่งพรหมจรรย์ ความว่า ได้ประพฤติ คือ สมาทาน ประพฤติ
พรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ได้ประพฤติแล้วซึ่งพรหมจรรย์.
[๕๕๙] คำว่า แห่งพระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาประเสริฐ ความว่า แห่งพระพุทธเจ้า
ผู้มีพระปัญญาประเสริฐ มีพระปัญญาเลิศ มีพระปัญญาเป็นใหญ่ มีพระปัญญาเป็นประธาน
มีพระปัญญาอุดม มีพระปัญญาบวร.