พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/214/405 406 407
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๖. ภูมิชสูตร (๑๒๖)
[๔๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเคยเป็นสถานที่พระราชทาน
เหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระภูมิชะ นุ่งสบง ทรงบาตรจีวรเข้า
ไปยังวังของพระราชกุมารชยเสนะในเวลาเช้าแล้วนั่งบนอาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ ต่อนั้น
พระราชกุมารชยเสนะเข้าไปหาท่านพระภูมิชะ แล้วได้ตรัสทักทายปราศรัยกับท่านพระภูมิชะ
ครั้นผ่านคำทักทาย ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๔๐๖] พระราชกุมารชยเสนะ ประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้รับสั่งกะท่านพระภูมิชะ
ดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านภูมิชะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ อย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า ถ้าแม้
บุคคลทำความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่ สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความไม่หวัง
แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว
ประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่
แล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ในเรื่องนี้ ศาสดาของท่านภูมิชะมีวาทะ
อย่างไร มีความเห็นอย่างไร บอกไว้อย่างไร ฯ
[๔๐๗] ท่านภูมิชะกล่าวว่า ดูกรพระราชกุมาร เรื่องนี้อาตมภาพมิได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคเลย แต่ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงพยากรณ์
อย่างนี้ว่า ถ้าแม้บุคคลทำความหวัง แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถ
จะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุ
ผล ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถ
จะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย
เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุ แต่ถ้าแม้ทำความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาก็จะ