พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/206/666 667 668
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ดูกรพราหมณ์ ท่านเผาไม้อยู่อย่าสำคัญซึ่งความบริสุทธิ์ ก็การเผาไม้นี้
เป็นของภายนอก ผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมไม่กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยการเผา
ไม้นั้น ดูกรพราหมณ์ เราละการเผาไม้ซึ่งบุคคลพึงปรารถนาความ
บริสุทธิ์ด้วยการเผาไม้อันเป็นของมีในภายนอก แล้วยังไฟคือญาณให้
โพลงภายในตนทีเดียว เราเป็นพระอรหันต์ มีไฟอันโพลงแล้วเป็น
นิตย์ มีจิตตั้งไว้ชอบแล้วเป็นนิตย์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ดูกรพราหมณ์
มานะแลเป็นดุจภาระคือ หาบของท่าน ความโกรธดุจควัน มุสาวาท
เป็นดุจเถ้า ลิ้นเป็นประดุจภาชนะเครื่องบูชา หทัยเป็นที่ตั้งกองกูณฑ์
ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นความรุ่งเรืองของบุรุษ ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้ถึง
เวททั้งหลายนั้นแล อาบในห้วงน้ำคือธรรมของบุรุษทั้งหลาย มีท่าคือ
ศีลไม่ขุ่นมัว อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้ว มีตัวไม่เปียกแล้ว ย่อม
ข้ามถึงฝั่ง ดูกรพราหมณ์ สัจจะธรรม ความสำรวม พรหมจรรย์
การถึงธรรมอันประเสริฐ อาศัยในท่ามกลาง ท่านจงกระทำความนอบ
น้อมในพระขีณาสพผู้ตรงทั้งหลาย เรากล่าวคนนั้นว่าผู้มีธรรมเป็นสาระ ฯ
[๖๖๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้
เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ก็แหละท่านพระภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์
รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล ฯ
พหุธิติสูตรที่ ๑๐
[๖๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในชัฏป่าแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล โคใช้ ๑๔ ตัว ของพราหมณ์ภารทวาชโคตรคนหนึ่งหายไป ฯ
[๖๖๘] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ภารทวาชโคตรเที่ยวแสวงหาโคใช้เหล่านั้นอยู่ เข้าไปถึง
ชัฏป่านั้น ครั้นแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในชัฏป่านั้นทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกาย