พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/200/641 642 643
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พิลังคิกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาค
ก็ท่านพิลังคิกภารทวาชอุปสมบทแล้วไม่นานแล หลีกไปอยู่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียร
มีตนส่งไปอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษอันยอดเยี่ยม เป็นที่สุดแห่ง
พรหมจรรย์ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ มีความต้องการด้วย
ปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้ เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละท่านภารทวาชะ
ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล ฯ
อหิงสกสูตรที่ ๕
[๖๔๑] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้นแล อหิงสกภารทวาชพราหมณ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้น
แล้ว สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
อหิงสกภารทวาชะพราหมณ์ นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อว่าอหิงสกะ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้า
พระองค์ชื่อว่าอหิงสกะ ฯ
[๖๔๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ถ้าว่าท่านมีชื่อว่าอหิงสกะ ท่านพึงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนด้วยกาย ด้วยวาจา
และด้วยใจ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ชื่อว่า อหิงสกะ โดยแท้เพราะไม่เบียด
เบียนซึ่งผู้อื่น ฯ
[๖๔๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อหิงสกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้
เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ก็แหละพระอหิงสกภารทวาชะ ได้เป็นพระ
อรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายดังนี้แล ฯ