พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/177/205
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เปรียบเหมือนรัศมีแห่งดาวชนิดใดชนิดหนึ่ง รัศมีดาวทั้งหมดนั้นย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่ง
รัศมีพระจันทร์ รัศมีพระจันทร์นั่นแล ครอบงำรัศมีดาวเหล่านั้น สว่างไสว
ไพโรจน์ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนในเมื่ออากาศโปร่งปราศจากเมฆในสารทสมัย
ในเดือนท้ายแห่งฤดูฝน พระอาทิตย์ลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า กำจัดอากาศอันมืดทั้งปวง สว่างไสว
ไพโรจน์ฉะนั้น อนึ่ง เปรียบเหมือนดาวประกายพฤกษ์ในปัจจุสสมัยแห่งราตรี สว่างไสว
ไพโรจน์ ฉะนั้น ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถา
ประพันธ์ดังนี้ว่า
ผู้ใดมีสติ เจริญเมตตาไม่มีประมาณ สังโยชน์ทั้งหลาย ของผู้นั้นผู้พิจารณา
เห็นซึ่งธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ ย่อมเป็นธรรมชาติเบาบาง ถ้าว่า
ผู้นั้นมีจิตไม่ประทุษร้ายซึ่งสัตว์มีชีวิตแม้ชนิดหนึ่ง เจริญเมตตาอยู่ไซร้
ผู้นั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีกุศลเพราะการเจริญเมตตานั้น อันพระอริย
บุคคลมีใจอนุเคราะห์ซึ่งสัตว์มีชีวิตทุกหมู่เหล่า ย่อมกระทำบุญ
เป็นอันมาก พระราชฤาษี ทั้งหลายทรงชนะซึ่งแผ่นดิน อัน
เกลื่อนกล่นด้วยหมู่สัตว์ ทรงบูชาอยู่ซึ่งบุญเหล่าใด (คือ อัสสเมธะ
ปุริสเมธะสัมมาปาสะ วาชเปยยะ นิรัคคพะ) เสด็จเที่ยวไป
บุญเหล่านั้นย่อมไม่ถึงแม้เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งเมตตาจิต อันบุคคลเจริญดี
แล้ว (เหมือนหมู่ดาวทั้งหมด ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖แห่งรัศมีพระจันทร์
ฉะนั้น) ผู้ใดมีส่วนแห่งจิตประกอบด้วยเมตตาในสัตว์ทุกหมู่เหล่า
ย่อมไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าไม่ชนะเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ชนะ เวรของ
ผู้นั้นย่อมไม่มีเพราะเหตุอะไรๆ เลยๆ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๗
จบตติยวรรคที่ ๓