พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/165/546 547 548 549 550      
      สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
      
     
 
    
        
          
            
 [๕๔๖] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าไปหาสีสุปจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก  ครั้นแล้วได้กล่าว
กะสีสุปจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใคร หนอ ฯ
    สีสุปจาลาภิกษุณีตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบใจทิฐิของใคร  เลย ฯ
 [๕๔๗] ม. ท่านจงใจเป็นคนโล้น ปรากฏตัวเหมือนสมณะ แต่ไฉน  ท่านจึงไม่
ชอบใจทิฐิ ท่านจึงประพฤติเรื่องนี้ เพราะความงมงายดอกหรือ ฯ
 [๕๔๘] สี. คนเจ้าทิฐิ ภายนอกพระศาสนานี้ ย่อมจมอยู่ใน  ทิฐิทั้งหลาย
 เราไม่ชอบใจธรรมของพวกเขา พวกเขาเป็นคน ไม่ฉลาดต่อธรรม
ยังมีพระพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติในศากยสกุล หาบุคคลอื่นเปรียบมิได้
ทรงครอบงำส่วนทั้งปวง ทรงบรรเทาเสียซึ่งมาร ไม่ปราชัยในที่
ทุกสถาน ทรงพ้นแล้วในส่วนทั้งปวง เป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ
อาศัยไม่ได้ มีพระจักษุทร เห็นธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุธรรมเป็นที่
สิ้นกรรมทุกอย่าง  ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ พระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจคำสอนของ
พระองค์ท่าน ฯ
    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า สีสุปจาลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไป
ในที่นั้นเอง ฯ
		       เสลาสูตรที่ ๙
 [๕๔๙] สาวัตถีนิทาน ฯ
    ครั้งนั้น เวลาเช้า เสลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาตยัง
พระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาต
แล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้
ต้นหนึ่ง ฯ
 [๕๕๐] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้เสลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว    ความหวาดเสียว
ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้า ไปหาเสลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก
 ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะเสลาภิกษุณีด้วยคาถาว่า