พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/162/433 434
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
อุทยมาณวกปัญหานิทเทส
ว่าด้วยปัญหาของท่านอุทยะ
[๔๓๓] (ท่านอุทยะทูลถามว่า)
ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้มีฌาน
ไม่มีกิเลสดังธุลี ประทับอยู่ (ที่ปาสาณกเจดีย์) ทรงทำกิจ
เสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง. ขอพระองค์
โปรดตรัสบอกอัญญาวิโมกข์ (อรหัตวิโมกข์) อันเป็นเครื่อง
ทำลายอวิชชา.
[๔๓๔] คำว่า ผู้มีฌาน ในอุเทศว่า ฌายึ วิรชมาสีนํ ดังนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงมีฌานแม้ด้วยปฐมฌาน แม้ด้วยทุติยฌาน แม้ด้วยตติยฌาน แม้ด้วยจตุตถฌาน แม้ด้วยฌาน
อันมีวิตกวิจาร แม้ด้วยฌาน (ทุติยฌานในปัญจกนัย) สักว่าไม่มีวิตก มีแต่วิจาร แม้ด้วยฌาน
อันไม่มีวิตกไม่มีวิจาร แม้ด้วยฌานมีปีติ แม้ด้วยฌานอันไม่มีปีติ แม้ด้วยฌานอันประกอบด้วยสุข
แม้ด้วยฌานอันประกอบด้วยอุเบกขา แม้ด้วยฌานอันเป็นสุญญตะ แม้ด้วยฌานอันเป็นอนิมิตตะ
แม้ด้วยฌานเป็นอัปปณิหตะ แม้ด้วยฌานอันเป็นโลกิยะ แม้ด้วยฌานอันเป็นโลกุตระ
ทรงยินดีในฌาน ทรงขวนขวายซึ่งความเป็นผู้เดียว หนักอยู่ในอรหัตผลซึ่งเป็นประโยชน์ของ
พระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้มีฌาน.
คำว่า ไม่มีกิเลสดังธุลี ความว่า ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ฯลฯ
อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เป็นดังธุลี. กิเลสดังธุลีเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละ
ได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป
เป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้วจึงชื่อว่า ผู้ไม่มีธุลี ปราศจากธุลี
ไปปราศแล้วจากธุลี ละธุลีเสียแล้ว พ้นขาดแล้วจากธุลี.