พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/162/534 535 536      
      สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
      
     
 
    
        
          
            		     อุบลวรรณาสูตรที่ ๕
 [๕๓๔] สาวัตถีนิทาน ฯ
    ครั้งนั้น เวลาเช้า อุบลวรรณาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร ฯลฯ ได้ยืนอยู่
ที่โคนต้นสาลพฤกษ์ซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง ต้นหนึ่ง ฯ
 [๕๓๕] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้อุบลวรรณาภิกษุณีบังเกิดความ กลัว ความ
หวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ   จึงเข้าไปหาอุบลวรรณา
ภิกษุณีถึงที่ที่ยืนอยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบลวรรณาภิกษุณี   ด้วยคาถาว่า
ดูกรภิกษุณี ท่านคนเดียว เข้ามายังต้นสาลพฤกษ์ ซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง
ตลอดยอด แล้วยืนอยู่ที่โคนต้นสาลพฤกษ์ ก็ฉวีวรรณของท่านไม่มี
ที่สอง คนทั้งหลายก็จะมาในที่นี้เช่นท่านท่านกลัวพวกนักเลงเพราะ
ความเขลาหรือ ฯ
 [๕๓๖] ลำดับนั้น อุบลวรรณาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว คาถา จะเป็น
มนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ
    ทันใดนั้น อุบลวรรณาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว
ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้  เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าว
คาถา ฯ
    ครั้นอุบลวรรณาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาปด้วยคาถา
ว่า
แม้นักเลงตั้งแสนมาในที่นี้ ก็ตามเถิด เราไม่สะเทือนขน  ไม่สะดุ้ง
ดูกรมาร ถึงเราคนเดียว ก็ไม่กลัวท่าน ฯ
เรานี้จะหายตัวหรือเข้าท้องพวกท่าน แม้จะยืนอยู่ ณ ระหว่าง  ดวงตา
บนดั้งจมูก ท่านจักไม่เห็นเรา ฯ
เราเป็นผู้ชำนาญในจิต อิทธิบาทเราเจริญดีแล้ว เราพ้นแล้ว  จากเครื่อง
ผูกทุกชนิด เราไม่กลัวท่านดอก ท่านผู้มีอายุ ฯ
    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า อุบลวรรณาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธาน
ไปในที่นั้นเอง ฯ