พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/16/18 19 20      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            ได้ดมกลิ่นด้วยฆานะ  ...  ได้ลิ้มรสด้วยชิวหา  ...  ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย  ...  ได้รู้แจ้ง
ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว  ย่อมไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิตและโดยอนุพยัญชนะ  ย่อม ปฏิบัติเพื่อสำรวม
มนินทรีย์  ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว  พึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำ
ได้  ย่อมรักษามนินทรีย์  ถึงความสำรวมในมนินทรีย์  ฯ
 [๑๘]  เธอประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะ  เช่นนี้แล้ว  ย่อมเสวยสุขอันไม่
เจือทุกข์ในภายใน  เป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอย  กลับ  ในเวลาแลดูและเหลียวดู
ในเวลาคู้เข้าและเหยียดออก  ในเวลาทรง  สังฆาฏิ  บาตรและจีวร  ในเวลาฉัน  ดื่ม  เคี้ยว
และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ  ในเวลาเดิน  ยืน  นั่ง  นอนหลับ  ตื่น  พูด
 และนิ่ง  ฯ
 [๑๙]  เธอประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นอริยะเช่นนี้  ประกอบด้วย  อินทรีย์สังวรอันเป็น
อริยะเช่นนี้  และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ  เช่นนี้แล้ว  ย่อมพอใจเสนาสนะ
อันสงัด  คือ  ป่า  โคนไม้  ภูเขา  ถ้ำป่าช้า  ป่าชัฏ  ที่แจ้ง  และลอมฟาง  เธอกลับจาก
บิณฑบาต  ภายหลังเวลาอาหารแล้ว  นั่งคู่บัลลังก์  ตั้งกายตรง  ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  ละอภิชญา
ในโลกได้แล้วมีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่  ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา  ละความประทุษร้าย
คือพยาบาท  เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท  อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์อยู่ย่อมชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาท  ละถีนมิทธะแล้ว  เป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ
มีอาโลกสัญญา  มีสติสัมปชัญญะอยู่  ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้  ละอุทธัจจะกุกกุจจะ
แล้ว  เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน  มีจิตสงบภายในอยู่  ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจะกุกกุจจะได้
ละวิจิกิจฉาแล้วเป็นผู้ข้ามความสงสัย  ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่  ย่อมชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้  ฯ
 [๒๐]  เธอครั้นละนิวรณ์  ๕  ประการอันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง  ทำปัญญาให้ถอย
กำลังนี้ได้แล้ว  จึงสงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม  เข้าปฐมฌานมีวิตก  มีวิจาร  มีปีติและ
สุขเกิดแต่วิเวกอยู่  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าความพยายามมีผล  ความเพียรมีผล  ฯ