พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/159/498
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการทำด้วย
อำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อแตกกายตายไปได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลัง
จุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน
บริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ วิชชาข้อ
ที่สอง ย่อมเป็นอันเธอได้บรรลุแล้ว ดังนี้ อวิชชาสูญไป วิชชาเกิดขึ้น ความมืดสูญไป แสง
สว่างเกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ภิกษุนั้น
เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์
นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้
ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะเมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก
กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า หลุด
พ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี วิชชาข้อที่สาม ย่อมเป็นอันเธอได้บรรลุแล้ว ดังนี้ อวิชชาสูญไป วิชชาเกิดขึ้น
ความมืดสูญไป แสงสว่างเกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตน
ไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ฯ
จิตของพระโคดมองค์ใดซึ่งมีศีลไม่ลุ่มๆ ดอนๆ มีปัญญาและมีความ
เพ่งพินิจ เป็นจิตมีความชำนาญ เป็นเอกัคคตา เป็นสมาธิดีแล้ว
พระโคดมพระองค์นั้นแลบัณฑิตกล่าวว่า บรรเทาความมืดได้ เป็นนัก
ปราชญ์ ได้วิชชา ๓ ละทิ้งมัจจุ เกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ ละบาป
ธรรมเสียได้ทุกอย่างสาวกทั้งหลายย่อมนมัสการพระโคดมพระองค์นั้น
ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชา ๓ ไม่หลงใหลอยู่ ผู้ตื่นแล้ว มีสรีระเป็นครั้งสุดท้าย
ผู้ใดตรัสรู้ปุพเพนิวาสญาณ เห็นทั้งสวรรค์ทั้งอบาย บรรลุถึงธรรมเป็น
ที่สิ้นชาติ เป็นมุนีผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เพราะรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็น
พราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ โดยวิชชา ๓ นี้เรากล่าวผู้นั้นว่าได้วิชชา ๓
เราย่อมไม่กล่าวถึงคนอื่นตามถ้อยคำที่คนอื่นกล่าวว่าได้วิชชา ๓ ฯ
ดูกรพราหมณ์ ผู้ได้วิชชา ๓ ในอริยวินัยเป็นอย่างนี้แล ฯ