พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/157/498
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
บรรดาสัญชาติเหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คน
จัณฑาลและคนเทขยะมูลฝอย ในเขตที่ปราศจากธุลีนั้นแล ทักษิณาย่อม
มีผลมาก ส่วนคนพาล ไม่รู้แจ้ง ทรามปัญญา มิได้สดับตรับฟัง ย่อม
พากันให้ทานในภายนอก ไม่เข้าไปหา สัตบุรุษ ก็ศรัทธาของผู้ที่เข้าไปหา
สัตบุรุษ ผู้มีปัญญายกย่องกันว่าเป็นปราชญ์ หยั่งรากลงตั้งมั่นใน
พระสุคต และเขาเหล่านั้นย่อมพากันไปเทวโลก หรือมิฉะนั้นก็เกิดใน
สกุลในโลกนี้ บัณฑิตย่อมบรรลุนิพพานได้โดยลำดับ ฯ
ติกรรณสูตร
[๔๙๘] ครั้งนั้นแล ติกรรณพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้
ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว นั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วพูดสรรเสริญคุณของพราหมณ์ผู้ได้วิชชาเฉพาะพระพักตรของพระผู้มีพระภาคว่า
พราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ เป็นอย่างนี้พราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ เป็นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรพราหมณ์ พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติพราหมณ์ว่าได้วิชชา ๓ อย่างไร ฯ
ติ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ในโลกนี้ เป็นอุภโตสุชาติ ข้างฝ่ายมารดาและ
บิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิสะอาดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วย
อ้างถึงชาติ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกฏุภะ
พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญ
ในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทายมหาปุริสลักษณะ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกพราหมณ์ย่อม
บัญญัติพราหมณ์ว่าได้วิชชา ๓ อย่างนี้แล ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติพราหมณ์ว่าได้วิชชา ๓ อย่าง หนึ่ง ก็แหละ
ผู้ได้วิชชา ๓ ในอริยวินัยเป็นอีกอย่างหนึ่ง ฯ
ติ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผู้ได้วิชชา ๓ ในอริยวินัย ย่อมมีอย่างไร ขอประทาน
พระวโรกาส ขอพระองค์โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ตามทีผู้ได้วิชชา ๓ มีในอริยวินัย ฯ