พระสุตตันตปิฎกไทย: 19/15/56 57      
      สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
      
     
 
    
        
          
            		         กุกกุฏารามสูตรที่ ๑
		    มิจฉามรรค ว่าด้วยอพรหมจรรย์
 [๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับแล้วอย่างนี้:
     สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์และท่านพระภัททะอยู่ ณ กุกกุฏาราม ใกล้นครปาฏลีบุตร
ครั้งนั้น ท่านพระภัททะออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ได้ปราศรัยกับท่าน
พระอานนท์ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ ที่เรียกว่า อพรหมจรรย์ๆ ดังนี้ อพรหมจรรย์เป็นไฉน
หนอ? ท่านพระอานนท์ตอบว่า ดีละๆ ท่านภัททะ ท่านช่างคิด ช่างหลักแหลม ช่างไต่ถาม
ก็ท่านถามอย่างนี้หรือว่า ท่านอานนท์ ที่เรียกว่า อพรหมจรรย์ๆ ดังนี้ อพรหมจรรย์เป็นไฉนหนอ?
     ภ. อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ?
     อา. มิจฉามรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มิจฉาสมาธิ นี้แล
เป็นอพรหมจรรย์.
		           จบ สูตรที่ ๘
		         กุกกุฏารามสูตรที่ ๒
		         ว่าด้วยพรหมจรรย์
 [๕๗] ปาฏลิปุตตนิทาน. ภ. ท่านอานนท์ ที่เรียกว่าพรหมจรรย์ๆ ดังนี้ พรหมจรรย์
เป็นไฉนหนอ? ที่สุดของพรหมจรรย์เป็นไฉน?
     อา. ดีละๆ ท่านภัททะ ท่านช่างคิด ช่างหลักแหลม ช่างไต่ถาม ก็ท่านถามอย่างนี้
หรือว่า ท่านอานนท์ ที่เรียกว่า พรหมจรรย์ๆ ดังนี้ พรหมจรรย์เป็นไฉนหนอ? ที่สุดของ
พรหมจรรย์เป็นไฉน?
     ภ. อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ.
     อา. อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเป็น
พรหมจรรย์ ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ นี้เป็นที่สุดของพรหมจรรย์.
		           จบ สูตรที่ ๙