พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/149/492

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
เล่ม 20
หน้า 149
ในโลกนี้ ย่อม เป็นไปเพื่อความสุขแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว ผู้ซึ่งสร้าง สมบุญไว้แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ฯ ชนสูตรที่ ๒
[๔๙๒] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ ๒ คน เป็นคนชรา แก่เฒ่า ล่วงกาลผ่านวัยมาโดย ลำดับ มีอายุได้ ๑๒๐ ปีแต่กำเนิด ได้ชวนกันเข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชราแก่เฒ่า ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุได้ ๑๒๐ ปีแต่ กำเนิดแต่มิได้สร้างความดีมิได้ทำกุศล มิได้ทำกรรมอันเป็นที่ต้านทานความขลาดไว้ ขอ พระโคดมผู้เจริญทรงโอวาทสั่งสอนถึงข้อที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่พวก ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ พวกท่านเป็นคนชรา แก่เฒ่า ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุได้ ๑๒๐ ปีแต่กำเนิดแต่มิได้สร้างความดี มิได้ทำกุศล มิได้ ทำกรรมอันเป็นที่ต้านทานความขลาดไว้ดูกรพราหมณ์ โลกนี้ถูกชรา พยาธิ มรณะแผดเผาแล้ว ดูกรพราหมณ์ เมื่อโลกถูกชรา พยาธิ มรณะแผดเผาแล้วเช่นนี้ ความสำรวมทางกาย ความสำรวม ทาง วาจา ความสำรวมทางใจในโลกนี้ ย่อมเป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้นเป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง และ เป็นที่ยึดหน่วงแก่เขาผู้ละไปแล้ว ฯ เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ สิ่งของที่นำออกได้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ เขา สิ่งของที่ถูกไหม้อยู่ในเรือนนั้น หาเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เขาไม่ ฉันใด เมื่อโลกถูกชราและมรณะแผดเผาแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคล ควรนำเอาออกมาด้วยการให้ทาน สิ่งที่ให้ไปแล้ว ย่อมเป็นอันบุคคล นำออกมาดีแล้ว ความสำรวมทางกาย ทางวาจา และทางใจในโลกนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสุขแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไป ผู้ซึ่งได้สร้างสมบุญไว้แต่เมื่อ ยังมีชีวิตอยู่ ฯ