พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/143/139
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
พลรถ เสียงกองพลเดินเท้า หรือเสียงกลอง บัณเฑาะว์ สังข์ มโหระทึก ย่อมหยุดนิ่ง
สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้าสนามรบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทน
ต่อเสียงอย่างนี้แล ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทนต่อกลิ่นอย่างไรคือ ช้างของพระราชา
เข้าสู่สงครามแล้ว ได้กลิ่นมูตรและคูถแห่งช้างของพระราชา(ฝ่ายข้าศึก) ที่ใหญ่กว่า
ซึ่งเข้าสนามรบทั้งหลาย ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้านไม่สามารถเข้าสนามรบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทนต่อกลิ่นอย่างนี้แล ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทนต่อรส
อย่างไร คือ ช้างของพระราชาเข้าสู่สงครามแล้ว ไม่ได้กินอาหารเพียงคืนหนึ่ง ๒
คืน ๓ คืน ๔ คืนหรือ ๕ คืน ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้าสนามรบ ดูกร
ภิกษุทั้งหลายช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทนต่อรสอย่างนี้แล ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์
ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะอย่างไร คือ ช้างของพระราชาเข้าสงครามแล้ว ถูกเขายิงด้วย
ลูกศรครั้งหนึ่ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง หรือ ๕ ครั้งเข้าแล้ว ย่อมหยุดนิ่งสะทกสะท้าน ไม่
สามารถเข้าสนามรบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะอย่างนี้
แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อม
เป็นผู้ไม่ควรแก่ของคำนับ ไม่ควรแก่ของต้อนรับ ไม่ควรแก่ของทำบุญ ไม่ควรแก่การกระทำ
อัญชลี ไม่เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่อดทนต่อรูป ๑ ไม่อดทนต่อเสียง ๑ ไม่อดทนต่อกลิ่น ๑ ไม่อดทน
ต่อรส ๑ ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะ ๑ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ไม่อดทนต่อรูปอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็น
รูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมกำหนัดในรูปที่ชวนให้กำหนัด ไม่สามารถตั้งจิตไว้โดยชอบ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ไม่อดทนต่อรูปอย่างนี้แล ก็ภิกษุเป็นผู้ไม่อดทนต่อเสียงอย่างไร คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ฟังเสียงด้วยหูแล้วย่อมกำหนัดในเสียงที่ชวนให้กำหนัด ไม่สามารถตั้ง
จิตไว้โดยชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ไม่อดทนต่อเสียงอย่างนี้แล ก็ภิกษุเป็นผู้ไม่อดทน
ต่อกลิ่นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ย่อมกำหนัดในกลิ่นที่ชวน
ให้กำหนัด ไม่สามารถตั้งจิตไว้โดยชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเป็นผู้ไม่อดทนต่อกลิ่นอย่างนี้
แล ก็ภิกษุเป็นผู้ไม่อดทนต่อรสอย่างไร คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ย่อม