พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/140/136
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
อาสวะเล่า เราแลเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อยประกอบด้วยไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารสม่ำเสมอ
ดี ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นปานกลาง ควรแก่การบำเพ็ญเพียร ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความ
สิ้นอาสวะเล่าเราแลเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เปิดเผยตนตามเป็นจริงในพระศาสดาหรือ
เพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้แจ้ง ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความสิ้นอาสวะเล่า เราแลเป็นผู้ปรารภความ
เพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอด
ธุระในกุศลธรรม ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความสิ้นอาสวะเล่า เราแลเป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบ
ด้วยปัญญาเครื่องหยั่งเห็นความเกิดความดับ อันประเสริฐ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดย
ชอบ ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความสิ้นอาสวะเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม
๕ ประการนี้แล ย่อมปรารถนาความสิ้นอาสวะ ฯ
จบสูตรที่ ๕
๖. ปัตถนาสูตรที่ ๒
[๑๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชาผู้กษัตริย์ได้มูรธาภิเษก
แล้ว ทรงประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ ย่อมทรงปรารถนาเป็นอุปราช องค์ ๕ ประการเป็นไฉน
คือ พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชาผู้กษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้วในโลกนี้ เป็นอุภโตสุชาติ
ทั้งฝ่ายพระมารดาทั้งฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ
อันใครๆจะคัดค้าน ตำหนิ โดยอ้างถึงพระชาติไม่ได้ ๑ ทรงมีพระรูปสวยงาม น่าดูน่าเลื่อมใส
ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องดียิ่ง ๑ ทรงเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยแห่งพระมารดาพระบิดา ๑
ทรงเป็นที่รักที่พอใจแห่งกองทหาร ๑ ทรงเฉียบแหลมฉลาด มีปัญญา สามารถคิดเหตุการณ์
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ๑ พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น ย่อมทรงดำริอย่างนี้ว่า เราแลเป็น
อุภโตสุชาติทั้งฝ่ายพระมารดาทั้งฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗
ชั่วบรรพบุรุษอันใครๆ จะคัดค้าน ตำหนิ โดยอ้างถึงชาติไม่ได้ ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา
เป็นอุปราชเล่า เราแลเป็นผู้มีรูปสวยงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยฉวีวรรณผุดผ่องดียิ่ง
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาเป็นอุปราชเล่า เราแลเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยแห่งพระมารดาพระบิดา
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาเป็นอุปราชเล่าเราแลเป็นที่รักที่พอใจแห่งกองทหาร ไฉนเราจะไม่พึง