พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/132/433 434
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ของพระเจ้าโกศล ลิ้นของมัน แลบออกจากปากเหมือนสายฟ้าแลบ ในขณะที่เมฆกำลังกระหึ่ม
ฉะนั้น เสียง หายใจเข้าออกของมัน เหมือนเสียงสูบช่างทองที่กำลังพ่นลมอยู่ก็ปานกัน ฯ
[๔๓๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้ จึงได้ตรัสกะมาร
ผู้มีบาปด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า
มุนีเสพเรือนว่างเปล่าเพื่ออยู่อาศัย มุนีนั้นเป็นผู้มีตนอันสำรวมแล้ว เขา
สละความอาลัยในอัตภาพนั้นเที่ยวไป เพราะการสละความอาลัยใน
อัตภาพแล้วเที่ยวไปนั้น เหมาะสมแก่ผู้เช่นนั้น ฯ
สัตว์ที่สัญจรไปมาก็มาก สิ่งที่น่ากลัวก็มาก อนึ่ง เหลือบและสัตว์เลื้อย
คลานก็ชุกชุม (แต่) มหามุนีผู้อยู่ในเรือนว่างเปล่า ย่อมไม่ยังแม้แต่
ขนให้ไหว้ ในเพราะสิ่งที่น่ากลัวเหล่านั้น ฯ
ถึงแม้ท้องฟ้าจะพึงแตก แผ่นดินจะพึงไหว สัตว์ทั้งหลาย พึงสะดุ้ง
กลัวกันหมดก็ตามที แม้ถึงว่าหอกหรือหลาวจะจ่ออยู่ที่อกก็ตามเถิด พระ
พุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงทำการป้องกันในเพราะอุปธิ (คือขันธ์)
ทั้งหลาย ฯ
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต
ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
สุปปติสูตรที่ ๗
[๔๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถาน ที่พระราช
ทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งเกือบตลอดราตรีในสมัยใกล้รุ่ง
แห่งราตรี ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าพระวิหารทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศเบื้องขวา
ทรงเหลื่อมพระบาทด้วยพระบาท ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงทำความหมายในอันจะเสด็จลุก
ขึ้นไว้ในพระหฤทัย ฯ