พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/130/474
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ผู้รู้จักกรรมอันเกิดแต่โลภะ เกิดแต่โทสะและเกิดแต่โมหะ เขาทำกรรม
ใด จะน้อยหรือมากก็ตาม เขาจะต้องเสวยผลกรรมนั้นในอัตภาพนี้
แหละ วัตถุชนิดอื่นย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้รู้แจ้งความโลภ
ความโกรธ และความหลงทำให้วิชชาบังเกิดขึ้น พึงละทุคติเสียได้
ทั้งหมด ฯ
หัตถกสูตร
[๔๗๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่บนที่ลาดใบไม้ ในสีสปาวัน ข้างทาง
โค ใกล้เมืองอาฬวี ครั้งนั้นแล หัตถกราชกุมารชาวเมืองอาฬวี เที่ยวเดินพักผ่อนอยู่ เมื่อ
กำลังเดินพักผ่อน ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่บนที่ลาดใบไม้ในป่าสีสปาวันข้างทางโค
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ พระองค์ทรงเป็น
สุขดีหรือ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกุมาร ฉันอยู่เป็นสุขดี ก็แหละฉันเป็นคนหนึ่ง
ในจำนวนคนที่เป็นสุขในโลก ฯ
ห. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีฤดูเหมันต์เยือกเย็น ระหว่าง ๘ วัน เป็นสมัยหิมะตก
พื้นดินแข็งแตกระแหง ที่ลาดใบไม้บาง ใบต้นไม้ห่าง ผ้ากาสายะเย็น ทั้งลมเวรัมพวาตอัน
เยือกเย็นก็กำลังพัด ฯ
ก็แหละลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอย่างนี้ว่า อย่างนั้นกุมารฉันเป็นสุขดี ก็
แหละฉันเป็นคนหนึ่งในจำนวนคนที่อยู่เป็นสุขในโลก แล้วตรัสต่อไปว่า ดูกรกุมาร ถ้าเช่นนั้น
ฉันจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านพึงพยากรณ์ปัญหานั้นตามที่ท่านชอบใจ ดูกรกุมาร ท่านจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีในโลกนี้ พึงมีเรือนยอดที่เขาฉาบทาทั้ง
ภายในภายนอกลมพัดเข้าไม่ได้ มีบานประตูมิดชิด มีหน้าต่างปิดสนิท ในเรือนยอดนั้นพึงมี
บัลลังก์ ซึ่งลาดด้วยผ้าลาดมีขนยาว ลาดด้วยเครื่องลาดขาว ทอด้วยขนสัตว์ยาว ลาดด้วยเครื่อง
ลาดขาวด้วยดอกไม้ ลาดด้วยเครื่องลาดชั้นสูงคือหนังชมด ข้างบนมีเพดาน มีหมอนสีแดง