พระสุตตันตปิฎกไทย: 20/128/473
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ภ. ดูกรสารีบุตร เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายควรศึกษาอย่างนี้ว่า ในกายอันมี
วิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก จักไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย อนึ่ง อหังการ
มมังการ และมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติปัญญาวิมุติอยู่ เราจักเข้าเจโตวิมุติ
ปัญญาวิมุตินั้นอยู่ ดูกรสารีบุตร เธอทั้งหลายควรศึกษาอย่างนี้แล เพราะภิกษุไม่มีอหังการ
มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก กับภิกษุที่เข้าถึงเจโตวิมุติ
และปัญญาวิมุติ ซึ่งเป็นที่ไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ตัดตัณหา
ถอนสังโยชน์ทิ้งกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะการรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยการละมานะโดยชอบ
ดูกรสารีบุตร ก็เราหมายเอาข้อนี้ ได้กล่าวไว้ในอุทยปัญหาในปารายนสูตร ดังนี้ว่า
เรากล่าวธรรมสำหรับละกามสัญญา และโทมนัสทั้งสองและธรรมเป็น
เหตุบรรเทาความง่วง และธรรมเป็นเครื่องห้ามกันความรำคาญ อันมี
อุเบกขากับสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์มีความตรึกประกอบด้วยธรรมแล่น
ไปในเบื้องหน้าว่า เป็นธรรมสำหรับทำลายล้างอวิชชา เป็นเครื่องพ้น
กิเลสด้วยปัญญาที่รู้ทั่วถึง ฯ
นิทานสูตร
[๔๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๓ ประการนี้ เป็นเหตุให้เกิดกรรม ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมที่ถูกโลภะครอบงำ เกิด
แต่โลภะ มีโลภะเป็นเหตุ มีโลภะเป็นแดนเกิด ย่อมให้ผลในที่ที่เกิดอัตภาพของเขา กรรม
นั้นให้ผลในขันธ์ใดในขันธ์นั้น เขาจะต้องเสวยวิบากของกรรมนั้น ในลำดับที่เกิดหรือต่อๆ ไป
ในปัจจุบันนั่นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมที่ถูกโทสะครอบงำ เกิดแต่โทสะ มีโทสะเป็นเหตุ
มีโทสะเป็นแดนเกิด ย่อมให้ผลในที่ที่เกิดอัตภาพของเขา กรรมนั้นให้ผลในขันธ์ใด ในขันธ์นั้น
เขาจต้องเสวยวิบากของกรรมนั้น ในลำดับที่เกิดหรือต่อๆ ไปในปัจจุบันนั่นเอง ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กรรมที่ถูกโมหะครอบงำเกิดแต่โมหะ มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นแดนเกิด ย่อม
ให้ผลในที่ที่เกิดอัตภาพของเขา กรรมนั้นให้ผลในขันธ์ใด ในขันธ์นั้น เขาจะต้องเสวยวิบาก
ของกรรมนั้นในลำดับที่เกิดหรือต่อๆ ไปในปัจจุบันนั่นเอง เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่ไม่แตก