พระสุตตันตปิฎกไทย: 18/127/213
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
เทวทหวรรคที่ ๔
เทวทหสูตร
[๒๑๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมชื่อว่าเทวทหะ ของสากยราช
ทั้งหลาย ในสักกชนบท ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราไม่กล่าวว่า ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖อันภิกษุทั้งปวงเทียวควรทำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แต่เราไม่กล่าวว่า ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ อันภิกษุทั้งปวงเทียวไม่ควรทำ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายภิกษุเหล่าใดเป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระ
ลงแล้ว มีประโยชน์ตนอันบรรลุโดยลำดับแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้วเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
เพราะรู้โดยชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ อันภิกษุ
เหล่านั้นไม่ควรทำ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะเหตุว่า ความไม่ประมาทของภิกษุเหล่านั้น ไม่
ควรแล้วเพื่อประมาทได้อีกเพราะความไม่ประมาทนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่ว่าภิกษุเหล่าใด ยัง
เป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตผล ปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ อันภิกษุเหล่านั้นควรทำ ข้อ
นั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า รูปทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันเป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี
อันไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี รูปเหล่านั้นถูกต้องแล้วๆ ย่อมไม่กลุ้มรุมจิตของบุคคลผู้ไม่ประมาท
ตั้งอยู่ เพราะการไม่ถูกกลุ้มรุมจิต ความเพียรเป็นคุณอันบุคคลนั้นปรารภแล้ว ไม่ให้ย่อหย่อน
สติเป็นธรรมชาติอันบุคคลนั้นเข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่ให้หลงลืม กายสงบ ไม่กระสับกระส่าย จิต
ตั้งมั่น มีอารมณ์อันเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทนี้แลจึงกล่าวว่า
ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ อันภิกษุเหล่านั้นควรทำ ฯลฯธรรมารมณ์อันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันเป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี อันไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจก็มีธรรมารมณ์เหล่านั้นถูกต้องแล้วๆ ย่อมไม่กลุ้ม
รุมจิตของบุคคลผู้ไม่ประมาทตั้งอยู่เพราะการไม่กลุ้มรุมจิต ความเพียรเป็นคุณอันบุคคลนั้น
ปรารภแล้ว ไม่ให้ย่อหย่อน สติเป็นธรรมชาติอันบุคคลนั้นเข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่ให้หลงลืม
กายสงบไม่กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์อันเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นผลแห่ง
ความไม่ประมาทนี้แล จึงกล่าวว่า ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ อันภิกษุเหล่านั้นควรทำ ฯ
จบสูตรที่ ๑