พระสุตตันตปิฎกไทย: 18/121/206 207
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
[๒๐๖] พราหมณ์เหล่าใด ย่อมระลึกถึงธรรมของพราหมณ์
ดั้งเดิมได้ พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้สูงสุดโดยศีล เป็นผู้ก่อนกว่า
ทวารทั้งหลายย่อมเป็นอันพราหมณ์เหล่านั้นคุ้มครองแล้วรักษาดีแล้ว
เพราะครอบงำความโกรธเสียได้ พราหมณ์เหล่าใด ระลึกถึงธรรมของ
พราหมณ์ดั้งเดิมได้ พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้ประพฤติในธรรม (กุศล
กรรมบถ) และในฌาน พราหมณ์เหล่าใดละเลยธรรมข้อนี้เสีย เป็นผู้
เมาด้วยโคตรว่า พวกเราผู้อันความโกรธครอบงำแล้ว ผู้มีอาชญาในตน
มากมาย ผู้ประพฤติผิดในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่สดุ้งและมั่นคง จึง
ประพฤติไม่สม่ำเสมอ การสมาทานวัตรทั้งปวงคือ การไม่กิน การนอน
บนหนาม การอาบน้ำในเวลาเช้าและพระเวท ๓ ของบุคคลผู้ไม่คุ้มครอง
ทวาร เป็นการเปล่าผล เหมือนของปลื้มใจอันบุรุษได้แล้วในความฝัน
ฉะนั้น การกล่าวสรรเสริญบริขารภัณฑ์เหล่านี้ คือ หนังเสือทั้งเล็บ
ชะฎาการหมักหมมมูลฟัน มนต์ ศีลพรตที่กล่าวว่าเป็นตบะ การ
ล่อลวง ไม้เท้าอันคด และการประพรมน้ำที่กล่าวว่าเป็นความรู้ของพวก
พราหมณ์ เป็นการบำเพ็ญเพื่ออามิส อันพวกพราหมณ์ทำแล้ว ส่วนจิต
อันตั้งมั่นดีแล้ว อันผ่องใส ไม่หม่นหมอง ไม่เหี้ยมโหดในสัตว์ทั้งปวง
ข้อนั้นเป็นทางแห่งการถึงความเป็นพรหม ฯ
[๒๐๗] ครั้งนั้นแล มาณพเหล่านั้นขัดเคือง ไม่พอใจ ได้พากันเข้าไปหาโลหิจจ
พราหมณ์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะโลหิจจพราหมณ์ว่า ขอท่านผู้เจริญพึงทราบเถิด พระ
สมณมหากัจจายนะค่อนว่า คัดค้านมนต์ของพราหมณ์ทั้งหลายโดยส่วนเดียว เมื่อมาณพเหล่านั้น
กล่าวแล้วอย่างนี้ โลหิจจพราหมณ์ก็ขัดเคือง ไม่พอใจ ลำดับนั้น โลหิจจพราหมณ์จึงคิดดังนี้ว่า
การที่เราพึงด่าพึงเหน็บแนม พึงบริภาษพระสมณมหากัจจายนะ เพราะเชื่อฟังคำของมาณพเป็น
แน่นอนนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย อย่ากระนั้นเลย เราไปหาแล้วถามดูเถิด ครั้งนั้นแล โลหิจจ
พราหมณ์กับมาณพเหล่านั้นได้เข้าไปหาท่านพระมหากัจจายนะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหา