พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/119/399
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ดูกรมหาบพิตร บุรุษ (บางคน) ถึงหากจะมั่งมี (แต่) ไม่มีศรัทธา เป็น
คนมีความตระหนี่เหนียวแน่น มีความดำริชั่วเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความ
เอื้อเฟื้อ ย่อมด่าย่อมบริภาษสมณะหรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่นๆ
เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนมักขึ้งเคียด ย่อมห้ามคนที่กำลังจะให้
โภชนาหารแก่คนที่ขอดูกรมหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์
คนเช่นนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรกอันร้ายแรง นี่ชื่อว่า ผู้สว่างแล้ว
กลับมืดต่อไป ฯ
ดูกรมหาบพิตร บุรุษ (บางคน) ถึงหากจะมั่งมี ก็เป็นคนมี ศรัทธา ไม่มี
ความตระหนี่ เขามีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทาน
ย่อมลุกรับสมณะหรือพราหมณ์หรือแม้วณิพกอื่นๆ ย่อมสำเหนียกใน
จรรยาอันเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่ผู้ที่ขอ ดูกร
มหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์ คนเช่นนั้นเมื่อตายไป ย่อม
เข้าถึงไตรทิพสถาน นี่ชื่อว่าผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไป ดังนี้ ฯ
อัยยิกาสูตรที่ ๒
[๓๙๙] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้นแลเป็นเวลากลางวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท้าวเธอผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า เชิญเถิดมหา
บพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนหนอแต่วัน ฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระอัยยิกาของหม่อม ฉัน ผู้ทรงชรา
เป็นผู้เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัย มีพระชนม์พรรษา ๑๒๐ พรรษา ได้เสด็จทิวงคตเสีย
แล้ว ท่านเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของหม่อมฉันมาก พระพุทธเจ้าข้า หากหม่อมฉันจะพึงได้
สมหวังว่า ขอพระอัยยิกาเจ้าของเราอย่าได้ เสด็จทิวงคตเลย ดังนี้ แม้ด้วยใช้ช้างแก้วแลกไซร้
หม่อมฉันพึงให้แม้ซึ่งช้างแก้ว เพื่อให้ได้สมหวัง ดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า หากหม่อมฉันพึงได้