พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/11/44 45 46 47 48 49      
      สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
      
     
 
    
        
          
            		      สมิทธิสูตรที่ ๑๐
 [๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ตโปทาราม เขตพระนครราชคฤห์   ครั้งนั้นแล
พระสมิทธิเถระผู้มีอายุ ตื่นขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี เข้าไปที่ ลำน้ำตโปทาเพื่อจะล้างตัว ครั้น
ล้างตัวแล้ว จึงกลับขึ้นยืนมีจีวรผืนเดียวรอให้ ตัวแห้ง ฯ
 [๔๕] ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีใกล้สว่าง เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงาม  ยังลำน้ำ
ตโปทาทั้งสิ้นให้สว่างทั่ว เข้าไปหาพระสมิทธิเถระผู้มีอายุถึงที่ใกล้ ครั้นแล้ว จึงลอยอยู่ในอากาศ
 ได้กล่าวกะพระสมิทธิเถระผู้มีอายุด้วยคาถาว่า
            ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแล้ว ยังขออยู่ ท่านบริโภคแล้ว ก็ไม่    ต้องขอเลย
ภิกษุ ท่านบริโภคแล้ว จงขอเถิด กาลอย่า ล่วงท่านไปเสียเลย ฯ
 [๔๖] ส. เรายังไม่รู้กาล กาลยังลับ มิได้ปรากฏ เพราะ  เหตุนั้น เราไม่บริโภค
แล้ว จึงยังขออยู่ กาลอย่าล่วงเราไป เสียเลย ฯ
 [๔๗] ครั้งนั้นแล เทวดานั้นลงมายืนที่พื้นดินแล้ว กล่าวกะพระสมิทธิ เถระว่า ภิกษุ
ท่านเป็นบรรพชิตยังหนุ่มแน่น มีผมดำประกอบด้วยปฐมวัย   จำเริญรุ่น จะเป็นผู้ไม่เพลิดเพลิน
ในกามทั้งหลายเสียแล้ว ภิกษุ ท่านจงบริโภค กามทั้งหลายเป็นของมนุษย์ อย่าละกามที่เห็น
ประจักษ์เสีย วิ่งไปหาทิพยกามอัน         มีโดยกาลเลย ฯ
 [๔๘] ส. ท่านผู้มีอายุ เราหาได้ละกามที่เห็นประจักษ์ วิ่งเข้าไปหา  ทิพยกามอันมีโดย
กาลไม่ ท่านผู้มีอายุ เราละกามอันมีโดยกาลแล้ว วิ่งเข้าไปหา  โลกุตรธรรมที่เห็นประจักษ์ ท่าน
ผู้มีอายุ ด้วยว่ากามทั้งหลายอันมีโดยกาล (เป็นของชั่วคราว) พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีทุกข์มาก
 มีความคับแค้นมาก ในกาม  ทั้งหลายนั้นมีโทษยิ่ง โลกุตรธรรมนี้ อันบุคคลพึงเห็นเอง ให้ผล
ไม่มีกาล ควร   เรียกร้องผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึง
ทราบเฉพาะตน ฯ
 [๔๙] ท. ภิกษุ ก็กามทั้งหลายอันมีโดยกาล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  มีทุกข์มาก มี
ความคับแค้นมาก มีโทษมาก เป็นอย่างไร โลกุตรธรรมนี้ อันบุคคลพึงเห็นเอง ให้ผลไม่มีกาล
ควรร้องเรียกผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนทั้งหลาย พึงทราบ
เฉพาะตน เป็นอย่างไร ฯ