พระสุตตันตปิฎกไทย: 17/109/202 203 204

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
เล่ม 17
หน้า 109
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสังขารหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในวิญญาณหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
[๒๐๒] สา. ดูกรยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
[๒๐๓] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นว่า สัตว์ บุคคลนี้นั้นไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. สา. ดูกรท่านยมกะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ ในปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น แต่ เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้วเพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของ ท่านพระสารีบุตร.
[๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านยมกะ ภิกษุ ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ ว่าอย่างไร? ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่ารูปแลไม่เที่ยง สิ่ง ใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนา