พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/108/377 378 379
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เมื่อบุรุษกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ไม่ทรงเบิกบาน พระทัย ฯ
[๓๗๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ไม่ทรงเบิกบาน
พระทัย จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
ดูกรมหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าปวงชน แท้จริง แม้สตรีบางคนก็เป็น
ผู้ประเสริฐ พระองค์จงชุบเลี้ยงไว้ สตรีที่มีปัญญา มีศีล ปฏิบัติแม่ผัว
พ่อผัวดังเทวดา จงรักสามี ฯ
บุรุษที่เกิดจากสตรีนั้น ย่อมเป็นคนแกล้วกล้า เป็นเจ้าแห่งทิศได้
บุตรของภริยาดีเช่นนั้น แม้ราชสมบัติก็ครอบครองได้ ฯ
ปฐมอัปปมาทสูตรที่ ๗
[๓๗๘] พระผู้มีพระภาคประทับ ... เขตพระนครสาวัตถี ... พระเจ้าปเสนทิโกศล
ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า มีอยู่
หรือ พระเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่ง ประโยชน์ทั้ง ๒ คือ
ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้ามีอยู่ ฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอย่าง หนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่ง
ประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า คืออะไร ฯ
[๓๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึด ไว้ได้ซึ่ง
ประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า คือ ความ ไม่ประมาท ฯ
ดูกรมหาบพิตร รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายที่สัญจรไปบนแผ่นดิน ชนิดใด ชนิดหนึ่ง
รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงการรวมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้าง ย่อมกล่าวกันว่า
เป็นเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นของใหญ่ ข้อนี้มีอุปมา ฉันใด ดูกรมหาบพิตร ธรรม
อย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า คือความ
ไม่ประมาท ก็มีอุปไมยฉันนั้น ฯ