พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/107/375 376
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ประทุษร้าย แต่เธอ ก็ยังเป็นพระภาคิไนยของเรา อย่ากระนั้นเลยเราควรยึดพลช้างทั้งหมด ยึด
พลม้าทั้งหมด ยึดพลรถทั้งหมด ยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู
เวเทหิบุตร แล้วปล่อยพระองค์ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยึดพลช้างทั้งหมด ทรงยึดพลม้าทั้งหมด ทรง ยึดพลรถทั้งหมด ทรงยึด
พลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร แล้วทรงปล่อยพระองค์
ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่ ฯ
[๓๗๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้วจึงได้ทรง ภาษิตพระคาถา
เหล่านี้ในเวลานั้นว่า
บุรุษจะแย่งชิงเขาได้ ก็ชั่วกาลที่การแย่งชิงของเขายังพอสำเร็จได้ แต่
เมื่อใด คนเหล่าอื่นย่อมแย่งชิง ผู้แย่งชิงนั้น ย่อมถูกเขากลับแย่งชิง
เมื่อนั้น ฯ
เพราะว่า คนพาลย่อมสำคัญว่า เป็นฐานะตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล
แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น ฯ
ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ ผู้ชำนะย่อมได้รับการชนะตอบ ผู้ด่า
ย่อมได้รับการด่าตอบ และผู้ขึ้งเคียดย่อมได้รับความขึ้งเคียดตอบ
ฉะนั้น เพราะความหมุนเวียนแห่งกรรม ผู้แย่งชิงนั้น ย่อมถูกเขากลับ
แย่งชิงคืน ฯ
ธีตุสูตรที่ ๖
[๓๗๖] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
ลำดับนั้น ราชบุรุษเข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็กราบทูล
ณ ที่ใกล้พระกรรณของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้ประเสริฐ พระนางมัลลิกาเทวี
ทรงประสูติพระธิดาแล้ว ฯ