พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/101/109      
      สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
      
     
 
    
        
          
            	สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้
พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความ
ปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอเราได้ดีแล้วหนอ พระผู้มีพระภาคอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เราออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยอันพระผู้มีพระภาค
ตรัสดีแล้ว เพื่อนพรหมจรรย์ของเรามีศีล มีธรรมอันงาม เราเป็นผู้กระทำบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย
เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นอันดี เราเป็นพระอรหันตขีณาสพ และเราเป็นผู้มีฤทธิ์มากมี
อานุภาพมาก ชีวิตของเราเจริญ ความตายของเราเจริญ ฯ
	ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของท่านพระอุปเสนวังคันต
บุตรด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
	ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุดแห่งมรณะ
	ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศกในท่าม
	กลางแห่งสัตว์ผู้มีความโศก ภิกษุผู้มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว มีจิต
	สงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่ ฯ
	 จบสูตรที่ ๙
	๑๐. สาริปุตตสูตร
 [๑๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
	สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณา
ความสงบระงับของตนอยู่ ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นท่านพระสารี
บุตรนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงพิจารณาความสงบระงับของตนอยู่ในที่ไม่ไกล ฯ
	ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลา
นั้นว่า
	ภิกษุผู้มีจิตสงบระงับ มีตัณหาอันจะนำไปในภพตัดขาดแล้วชาติสงสาร
	สิ้นแล้ว พ้นแล้วจากเครื่องผูกแห่งมาร ฯ
	จบสูตรที่ ๑๐
	จบเมฆิยวรรคที่ ๔