- หน้า 396 - 
ความเร่าร้อนแม้ทางกาย  แม้ทางใจได้  เขาย่อมเสวยสุขทางกายบ้าง  สุขทางใจบ้าง  บุคคลผู้เป็น
เช่นนั้นแล้ว  มีความเห็นอันใด  ความเห็นอันนั้นย่อมเป็น  สัมมาทิฐิ  มีความดำริอันใด  ความดำริ
อันนั้นย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ  มีความ  พยายามอันใด  ความพยายามอันนั้นย่อมเป็นสัมมาวายามะ
 มีความระลึกอันใดความระลึกอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสติ  มีความตั้งใจอันใด  ความตั้งใจอัน
นั้นย่อมเป็นสัมมาสมาธิ  ส่วนกายกรรม  วจีกรรม  อาชีวะของเขา  ย่อมบริสุทธิ์ดีใน เบื้องต้นเทียว
ด้วยอาการอย่างนี้  เขาชื่อว่ามีอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐถึงความเจริญบริบูรณ์  ฯ
	
[๘๒๙]
  เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้  ชื่อว่า  มีสติปัฏฐาน
๔  สัมมัปปธาน  ๔  อิทธิบาท  ๔  อินทรีย์  ๕  พละ  ๕  โพชฌงค์  ๗  ถึงความเจริญบริบูรณ์
บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้  คือสมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป  เขาชื่อว่ากำหนดรู้
ธรรมที่ควรรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญา
อันยิ่ง  ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน  มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่า
อุปาทานขันธ์  ๕  ได้แก่อุปาทานขันธ์  คือรูป  คือเวทนา  คือสัญญา  คือสังขาร  คือวิญญาณ
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน  คืออวิชชา  และภวตัณหา
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน  คือสมถะและวิปัสสนา
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน  คือวิชชาและวิมุตติ
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง  ฯ
	
[๘๓๐]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็นโสตะ  ตามความเป็นจริง  ...
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็นฆานะ  ตามความเป็นจริง  ...
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็นชิวหา  ตามความเป็นจริง  ...
	ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็นกาย  ตามความเป็นจริง  ...
   
  สุตันตปิฎกไทย:
  - อุปริ. ม. 14/524/829.