- หน้า 148 - 
จากวจีทุจริตทั้ง  ๔  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค  เจริญ
อริยมรรคอยู่  นี้แล  สัมมาวาจา  ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
	ภิกษุย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาวาจา  เพื่อบรรลุสัมมาวาจาอยู่  ความพยายามของเธอนั้น
เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
	ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาวาจาได้  มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่  สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ  ฯ
	ด้วยอาการนี้  ธรรม  ๓  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะสัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาวาจาของภิกษุนั้น  ฯ
	
[๒๖๙]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  ๗  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานก็สัมมา
ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉากัมมันตะว่า  มิจฉากัมมันตะ  รู้จักสัมมากัมมันตะ
ว่า  สัมมากัมมันตะ  ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ
	
[๒๗๐]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉากัมมันตะเป็นไฉน  คือ  ปณาติบาต อทินนาทาน
กาเมสุมิจฉาจาร  นี้  มิจฉากัมมันตะ  ฯ
	
[๒๗๑]
  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน  ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย  เรากล่าว
สัมมากัมมันตะเป็น  ๒  อย่าง  คือ  สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์
อย่าง  ๑  สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  อย่าง  ๑  ฯ
	
[๒๗๒]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผล
แก่ขันธ์เป็นไฉน  คือ  เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต  งดเว้นจากอทินนาทาน  งดเว้นจากกาเม
สุมิจฉาจาร  นี้สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ
	
[๒๗๓]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็น  อนาสวะ  เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรคเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความงดความเว้น  เจตนางดเว้น  จากกายทุจริต
ทั้ง  ๓  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล  สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
	ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉากัมมันตะ  เพื่อบรรลุสัมมากัมมันตะ   ความพยายาม
ของเธอนั้น  เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
	ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉากัมมันตะได้  มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะอยู่  สติ  ของเธอนั้น  เป็น
สัมมาสติ  ฯ
   
  สุตันตปิฎกไทย:
  - อุปริ.ม.14/184/271-273.