สุตันตปิฎกไทย

สคา. สํ. 15/22/70-71. เล่ม 15, หน้า 17, ข้อ 70

- หน้า 17 -


[๖๖] ท. ภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็น ผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ภิกษุนั้นยังติดมานะหรือหนอ จึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเรา ดังนี้บ้าง ฯ
[๖๗] ภ. กิเลสเป็นเครื่องผูกทั้งหลาย มิได้มีแก่ภิกษุที่ละมานะเสียแล้ว มานะและคันถะทั้งปวง อันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้วภิกษุเป็นผู้มีปัญญาดี ล่วงเสียแล้วซึ่งความสำคัญ ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคล ทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึง กล่าวตามสมมติที่พูดกัน ฯ ปัชโชตสูตรที่ ๖
[๖๘] ท. โลกย่อมรุ่งเรืองเพราะแสงสว่างทั้งหลายใด แสงสว่างทั้งหลายนั้น ย่อมมีอยู่เท่าไรในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อจะทูลถามพระ ผู้มีพระภาค ไฉนจะรู้จักแสงสว่างที่ทูลถามนั้น ฯ
[๖๙] ภ. แสงสว่างทั้งหลายมีอยู่ ๔ อย่างในโลก แสงสว่างที่๕ มิได้มีใน โลกนี้ ดวงอาทิตย์สว่างในกลางวัน ดวงจันทร์สว่างในกลางคืน อนึ่ง ไฟย่อมรุ่งเรืองในกลางวันและกลางคืนทุกหนแห่ง พระสัมพุทธเจ้า ประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลายแสงสว่างของพระสัมพุทธเจ้า เป็น แสงสว่างอย่างเยี่ยม ฯ สรสูตรที่ ๗

[๗๐]
ท. สงสารทั้งหลายย่อมกลับแต่ที่ไหน วัฏฏะย่อมไม่เป็นไปในที่ไหน นามก็ดี รูปก็ดี ย่อมดับหมดในที่ไหน ฯ
[๗๑] ภ. น้ำ ดิน ไฟ ลม ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใด สงสารทั้งหลายย่อมกลับ แต่ที่นี้ วัฏฏะย่อมไม่เป็นไปในที่นี้ นามก็ดีรูปก็ดี ย่อมดับหมดในที่นี้ ฯ
สุตันตปิฎกไทย: - สคา. สํ. 15/22/70-71.