สุตันตปิฎกไทย

ติก. อํ. 20/170/472. เล่ม 20, หน้า 127, ข้อ 472

- หน้า 127 -

และมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติ ปัญญา วิมุตินั้นอยู่ด้วยประการใด การได้สมาธิด้วยประการนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้ ฯ อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกายอันมีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก ไม่พึงมี อหังการ มมังการ และมานานุสัย อนึ่ง อหังการ มมังการและมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินั้นอยู่ด้วยประการใด การ ได้สมาธิด้วยประการนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ ภ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมคิดเช่นนี้ว่า คุณชาตินี้ เป็นที่สงบระงับ ประณีต คือ ความสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิทั้งมวลธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ความ สำรอกกิเลส ความดับสนิท นิพพาน ดูกรอานนท์ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิต ภายนอก ไม่พึงมีอหังการ มมังการและมานานุสัย อนึ่ง อหังการ มมังการ และมานานุสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เข้าเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอยู่ ภิกษุพึงเข้าเจโตวิมุติและปัญญาวิมุตินั้นอยู่ด้วย ประการใด การได้สมาธิด้วยประการนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้ด้วยประการฉะนี้แล ก็แหละเราหมาย เอาเช่นนี้ ได้ภาษิตไว้แล้วในปุณณกปัญหาในปารายนสูตร ดังนี้ว่า บุคคลใดรู้อัตภาพของผู้อื่น และอัตภาพของตนเป็นต้นในโลก ไม่มีกิเลส เป็นเหตุให้หวั่นไหวในโลกไหนๆ เรากล่าวว่า บุคคลนั้น สงบระงับ แล้ว ไม่มีทุจริตอันทำให้จิตกลุ้มมัวดุจควันไฟ ไม่มีกิเลสอันกระทบใจ หาความทะเยอทะยานมิได้ห้ามชาติและชราได้แล้ว ฯ สาริปุตตสูตร

[๔๗๒]
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่าน พระสารีบุตรว่า ดูกรสารีบุตร เราพึงแสดงธรรมโดยสังเขปก็มี โดยพิสดารก็มี ทั้งโดยสังเขป และพิสดารก็มี แต่บุคคลผู้ที่จะรู้ทั่วถึงธรรมหาได้ยาก ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้ เป็นการสมควรที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงแสดงธรรม โดยสังเขปบ้าง โดยพิสดารบ้าง ทั้งโดยสังเขป ทั้งโดยพิสดารบ้าง จักมีผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้
สุตันตปิฎกไทย: - ติก. อํ. 20/170/472.