| เนื้อความทั้งหมด :-อริยสัจสี่ ที่ทรงแสดงโดยพิสดาร--(นัยที่สอง)--ภิกษุ ท. !  ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า  “เหล่านี้  คืออริยสัจทั้งหลาย  ๔  ประการ”  ดังนี้  เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้  ทำให้เศร้าหมองไม่ได้  ติเตียนไม่ได้  คัดง้างไม่ได้.  ข้อนี้  เป็นธรรมที่เรากล่าวแล้วอย่างนี้  เราอาศัยซึ่งอะไรเล่า  จึงกล่าวแล้วอย่างนี้ ?  ภิกษุ ท. !  เพราะอาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย  ๖  ประการ  การก้าวลงสู่ครรภ์  ย่อมมี ;  เมื่อการก้าวลงสู่ครรภ์มีอยู่,  นามรูป  ย่อมมี ;  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ;  เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย  จึงมีผัสสะ ;  เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย  จึงมีเวทนา.ภิกษุ ท.  !  เราย่อมบัญญัติว่า  “นี้  เป็นความทุกข์”  ดังนี้ ;  ว่า” นี้  เป็นทุกขสมุทัย”  ดังนี้ ;  ว่า  “นี้เป็นทุกขนิโรธ”  ดังนี้ ;  ว่า  “นี้เป็นทุกขนิโรธคามินี-  ปฏิปทา” ดังนี้ ;  แก่สัตว์ผู้สามารถเสวยเวทนา.--ภิกษุ ท. !  ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ?  แม้ความเกิด  ก็เป็นทุกข์,แม้ความแก่  ก็เป็นทุกข์,  แม้ความตาย  ก็เป็นทุกข์,  แม้โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย  ก็เป็นทุกข์,  การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์,  ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก  เป็นทุกข์,  ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น  นั่นก็เป็นทุกข์ :  กล่าวโดยย่อ  ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลายเป็นทุกข์.  ภิกษุ ท. !  นี้เรากล่าวว่า  ทุกขอริยสัจ.--ภิกษุ ท. !  ทุกขสมุทยอริสัจ เป็นอย่างไรเล่า ?  เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย  จึงมีสังขารทั้งหลาย ;  เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย  จึงมีวิญญาณ ;--เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ;  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย  จึงมีสฬายตนะ ;  เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย  จึงมีผัสสะ ;  เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย  จึงมีเวทนา ;  เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย  จึงมีตัณหา ;  เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;  เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย  จึงมีภพ ;  เพราะมีภพเป็นปัจจัย  จึงมีชาติ ;  เพราะมีชาติเป็นปัจจัย,  ชรามรณะ  โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย  จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.  ภิกษุ ท. !  นี้เรากล่าวว่า  ทุกขสมุทย-  อริยสัจ.--ภิกษุ ท. !  ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ?  เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,  จึงมีความดับแห่งสังขาร ;  เพราะมีความดับแห่งสังขาร  จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ;  เพราะมีความดับแห่งวิญญาณจึงมีความดับแห่งนามรูป ;  เพราะมีความดับแห่งนามรูป  จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ ;  เพราะมีความดับสฬายตนะ  จึงมีความดับแห่งผัสสะ ;  เพราะมีความดับแห่งผัสสะ  จึงความดับแห่งเวทนา ;  เพราะมีความดับแห่งเวทนา  จึงความดับแห่งตัณหา ;  เพราะมีความดับแห่งตัณหา  จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ;  เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน  จึงมีความดับแห่งภพ ;  เพราะมีความดับแห่งภพ  จึงความดับแห่งชาติ ;  เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล,  ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :  ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้  ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.  ภิกษุ ท. !  นี้เรากล่าวว่า  ทุกขนิโรธอริยสัจ.--ภิกษุ ท. !  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ  เป็นอย่างไรเล่า ?  มรรคอันประเสริฐ  ประกอบด้วยองค์  ๘  ประการ  นี้นั่นเอง,  กล่าวคือ--สัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ.  ภิกษุ ท. !  นี้เรากล่าวว่า  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.--ภิกษุ ท. !  ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า  “เหล่านี้ คืออริยสัจทั้งหลาย  ๔  ประการ”  ดังนี้  เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้  ทำให้เศร้าหมองไม่ได้  ติเตียนไม่ได้  คัดง้างไม่ได้  ดังนี้อันใด  อันเรากล่าวแล้ว ;  ข้อนั้น  เรากล่าวหมายถึงข้อความดังกล่าวมานี้,  ดังนี้ แล.- |