เนื้อความทั้งหมด :-การเสพที่เป็นอุปกรณ์และไม่เป็นอุปกรณ์--แก่ความเพียรละอกุศลและเจริญกุศล--๑. การเสพกายสมาจาร--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ซึ่งกายสมาจาร (การประพฤติประจำทางกาย) ชนิดไร อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม, กายสมาจารชนิดนี้บุคคลไม่ควรเสพ. สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ซึ่งกายสมาจารชนิดไร อกุศลธรรมเสื่อมกุศลธรรมเจริญ, กายสมาจารชนิดนี้บุคคลควรเสพ.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้เสพอยู่ซึ่ง กายสมาจาร ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้เป็นผู้มีปาณาติบาต เป็นพราน มีมือเปื้อนเลือด วุ่นอยู่แต่การประหัตประหารไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต, และเป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย, และเป็นผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือประพฤติผิดในหญิงทั้งหลาย ที่มีมารดารักษา บิดารักษา มารดาและบิดารักษา พี่น้องชายรักษา พี่น้องหญิงรักษา ญาติรักษา หญิงมีสามี หญิงมีสินไหม แม้ที่สุดแต่หญิงที่มีผู้สวมมาลาหมั้นไว้. สารีบุตร ! เมื่อเสพกายสมาจารชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ซึ่ง กายสมาจาร ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศาสตราเสียแล้ว--มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย, และเป็นผู้ ละอทินนาทาน เว้นขาดจากจากอทินนาทาน ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์ อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย, และเป็นผู้ ละกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร คือไม่ประพฤติผิดในหญิงทั้งหลายที่มีมารดารักษา บิดารักษา มารดาและบิดารักษา พี่น้องชายรักษา พี่น้องหญิงรักษา ญาติรักษา หญิงมีสามี หญิงมีสินไหม แม้สุดแต่หญิงที่มีสวมมาลาหมั้นไว้. สารีบุตร ! เมื่อเสพกายสมาจารชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ.--๒. การเสพวจีสมาจาร--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่งวจีสมาจาร (การประพฤติประจำทางวาจา) ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติกล่าวเท็จ ไปในสภาก็ดี ไปในที่ประชุมก็ดี ไปในหมู่ญาติก็ดี ไปในท่ามกลางคนหมู่มากก็ดี ไปในท่ามกลางราชสกุลก็ดีเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “ท่านผู้เจริญ ! ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าไปอย่างนั้น” บุรุษนั้นเมื่อไม่รู้ก็บอกว่ารู้ เมื่อรู้ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็บอกว่าเห็น เห็นก็บอกว่าไม่เห็น ดังนี้ กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุแห่งตนบ้าง เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง เพราะเหตุเห็นแก่อามิสสินจ้างบ้าง, และเป็นผู้กล่าวคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้ว เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว เก็บมาบอกฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น ทำคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้แตกจากกัน อุดหนุนส่งเสริมคนที่แตกกันอยู่แล้วให้แตกจากกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการเป็นพวกยินดีในการเป็นพวก เป็นคนพอใจในการเป็นพวก กล่าวแต่วาจาที่ทำให้เป็นพวก และเป็นผู้กล่าววาจาหยาบ เป็นวาจาทิ่มแทง กักขฬะ เผ็ด--ร้อน ขัดใจผู้อื่น กลัดกลุ้มอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปด้วยสมาธิ, และเป็นผู้กล่าววาจาเพ้อเจ้อ ไม่กล่าวตามกาลอันควร ไม่กล่าวตามเป็นจริง ไม่กล่าวโดยอรรถ ไม่กล่าวโดยธรรม ไม่กล่าวโดยวินัย กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาละไม่ถูกเทศะ ไม่มีที่จบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์. สารีบุตร ! เมื่อเสพวจีสมาจารชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ซึ่ง วจีสมาจาร ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปในสภาก็ดี ไปในที่ประชุมก็ดี ไปในหมู่ญาติก็ดี ไปในท่ามกลางคนหมู่มากก็ดี ไปในท่ามกลางราชสกุลก็ดี เขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “ท่านผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ว่าไปอย่างนั้น” เขานั้นเมื่อรู้ก็บอกว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เห็นก็บอกว่าเห็น ไม่เห็นก็บอกว่าไม่เห็น ดังนี้ ไม่กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุแห่งตนบ้าง เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง เพราะเหตุเห็นแก่อามิสสินจ้างบ้าง, และเป็นผู้ ละปิสุณวาจา เว้นขาดจากปิสุณวาจา ได้เว้นขาดจากปิสุณวาจา ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้ว ไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว ไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง ยินดีในการพร้อมเพรียง พอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้พร้อมเพรียงกัน, และเป็นผู้ ละผรุสวาจา เว้นขาดจากผรุสวาจา กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่, และเป็นผู้ ละสัมผัปปลาวาท เว้นขาดจากสัมผัปปลาวาท กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย--กล่าวแต่วาจาที่มีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์สมควรแก่เวลา. สารีบุตร ! เมื่อเสพวจีสมาจารชนิดนี้ แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ.--๓. การเสพมโนสมาจาร--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่งมโนสมาจาร (การประพฤติประจำทางใจ) ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา เพ่งต่อทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “ทรัพย์ใดของใคร จงมาเป็นของเรา ดังนี้, และเป็นผู้มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย ว่า “ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงวินาศ อย่าได้มีอยู่” ดังนี้. สารีบุตร ! เมื่อเสพมโนสมาจารชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้เสพอยู่ซึ่ง มโนสมาจาร ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้เป็นผู้ไม่มากด้วยอภิชฌา ไม่เพ่งต่อทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “ทรัพย์ใดของใคร จงมาเป็นของเรา” ดังนี้, และเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย โดยมีความรู้สึกอยู่ว่า “ขอสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีความลำบาก จงมีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้. สารีบุตร ! เมื่อเสพมโนสมาจารชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อมกุศลธรรมย่อมเจริญ.--๔. การเสพจิตตุปบาท--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ซึ่ง จิตตุปบาท (ความมักเกิดขึ้นแห่งจิต) ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา มีจิตสหรคตด้วยอภิชฌาอยู่, เป็นผู้ มีพยาบาท มีจิตสหรคตด้วยพยาบาทอยู่, เป็นผู้ มีวิหิงสา มีจิตสหรคตด้วยวิหิงสาอยู่, สารีบุตร ! เมื่อเสพจิตตุปบาทชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่งจิตตุปบาท ชนิดไหนเล่า? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ไม่เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา มีจิตไม่สหรคตด้วยอภิชฌาอยู่, เป็นผู้ไม่มีพยาบาท มีจิตไม่สหรคตด้วยพยาบาทอยู่, เป็นผู้ไม่มีวิหิงสา มีจิตไม่สหรคตด้วยวิหิงสาอยู่, สารีบุตร ! เมื่อเสพจิตตุปบาทชนิดนี้ แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ.--๕. การเสพสัญญาปฏิลาภ--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่ง สัญญาปฏิลาภ (การได้ความหมายมั่นเฉพาะเรื่อง) ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา อยู่ด้วยสัญญาอันสหรคตด้วยอภิชฌา, เป็นผู้ มีพยาบาท อยู่ด้วยด้วยสัญญาอันสหรคตด้วยพยาบาท, เป็นผู้มีวิหิงสา อยู่ด้วยสัญญาอันสหรคตด้วยวิหิงสา, สารีบุตร ! เมื่อเสพสัญญาปฏิ ลาภชนิดนี้ แล อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่งสัญญาปฏิลาภ ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ไม่เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา มีสัญญาไม่สหรคตด้วยอภิชฌาอยู่, เป็นผู้ไม่มีพยาบาท มีสัญญาไม่สหรคตด้วยพยาบาทอยู่, เป็นผู้ไม่มีวิหิงสา มีสัญญาไม่สหรคตด้วยด้วยวิหิงสาอยู่. สารีบุตร ! เมื่อเสพสัญญาปฏิลาภชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ.--๖. การเสพทิฏฐิปฏิลาภ--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้เสพอยู่ ซึ่ง ทิฏฐิปฏิลาภ (การได้ทิฏฐิเฉพาะเรื่อง) ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี,โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. สารีบุตร ! เมื่อเสพทิฏฐิปฏิลาภชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม.--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่ง ทิฏฐิปฏิลาภ ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! บุคคลบางคนในกรณีนี้เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี(ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้ว--ปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. สารีบุตร ! เมื่อเสพทิฏฐิปฏิลาภชนิดนี้แล อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ.--๗. การเสพอัตตภาวปฏิลาภ--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่ง อัตตภาวปฏิลาภ (การได้อัตตภาพเฉพาะชนิด) ชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเกิดด้วยการได้อัตตภาพที่ยังประกอบด้วยทุกข์ เพราะภพของเขายังไม่ สิ้นไป อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม--สารีบุตร ! อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ แก่บุคคลผู้ เสพอยู่ ซึ่ง อัตตภาวปฏิลาภชนิดไหนเล่า ? สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเกิดด้วยการได้อัตตภาพที่ไม่ประกอบด้วยทุกข์ เพราะภพของเขาสิ้นไป อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ.--๘. การเสพอารมณ์หก--สารีบุตร ! เมื่อบุคคล เสพอยู่ ซึ่งรูป ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุชนิดไร อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม, รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุชนิดนี้ เป็นรูปอันบุคคล ไม่ควรเสพ.--สารีบุตร ! เมื่อบุคคล เสพอยู่ ซึ่งรูป ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุชนิดไร อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ, รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุชนิดนี้ เป็นรูปอันบุคคล ควรเสพ.--(ในกรณีแห่งอารมณ์ห้าที่เหลือ คือเสียง ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู กลิ่น ที่จะพึงรู้แจ้ง ด้วยจมูก รส ที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น โผฏฐัพพะ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย และธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ ก็มีหลักเกณฑ์ที่ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่ง รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุข้างบนนี้).--๙. การเสพปัจจัยสาม--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ ซึ่งจีวร ชนิดไร อกุศลธรรมเจริญ กุศล ธรรมเสื่อม, จีวรชนิดนี้ เป็นจีวรอันบุคคล ไม่ควรเสพ.--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ ซึ่งจีวร ชนิดไร อกุศลธรรมเสื่อม กุศล ธรรมเจริญ, จีวรชนิดนี้ เป็นจีวรอันบุคคล ควรเสพ.--(ในกรณีแห่งปัจจัย คือ บิณฑบาต และเสนาสนะ ก็มีหลักเกณฑ์ที่ ได้ตรัสไว้ทำนอง เดียวกันกับในกรณีแห่ง จีวร ข้างบนนี้).--๑๐. – ๑๓. การเสพคาม - นิคม - นคร - ชนบท--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ ซึ่งคาม (หมู่บ้าน) ชนิดไร อกุศลธรรม เจริญ กุศลธรรมเสื่อม, คามชนิดนี้ เป็นคามอันบุคคล ไม่ควรเสพ.--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ ซึ่งคาม ชนิดไร อกุศลธรรมเสื่อม กุศล ธรรมเจริญ, คามชนิดนี้ เป็นคามอันบุคคล ควรเสพ.--(ในกรณีแห่งปัจจัย คือ นิคม - นคร - ชนบท ก็มีหลักเกณฑ์ที่ได้ตรัสไว้ ทำนองเดียวกันกับ ในกรณีแห่ง คาม ข้างบนนี้ ).--๑๔. การเสพบุคคล--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ ซึ่ง บุคคล ชนิดไร อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม, บุคคลชนิดนี้ เป็นบุคคลอันบุคคล ไม่ควรเสพ.--สารีบุตร ! เมื่อบุคคลเสพอยู่ ซึ่ง บุคคล ชนิดไร อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ, บุคคลชนิดนี้ เป็นบุคคลอันบุคคล ควรเสพ.--- อุปริ.ม.๑๔/๑๕๕,๑๕๗-๑๕๘,๑๖๐-๑๖๑,๑๖๓-๑๖๔/๒๒๑,๒๒๔-๒๒๖,๒๒๙,๒๓๒.--ชาคริยานุโยคคือส่วนประกอบของความเพียร--ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ตามประกอบในธรรมเป็นเครื่องตื่น เป็นอย่างไรเล่า ?--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากอาวรณียธรรม (กิเลสที่กั้นจิต) ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวันยังค่ำไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี, ครั้นยามกลางแห่งราตรี นอนอย่างราชสีห์ (คือ) ตะแคงข้างขวา เท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะในการลุกขึ้น, ครั้นยามสุดท้ายแห่งราตรี ลุกขึ้นแล้ว ชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่ง อีก.--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล ชื่อว่าภิกษุเป็นผู้ตามประกอบในธรรมเป็นเครื่องตื่น.- |